เรื่องสั้น “ระเบิดเวลา”


ระเบิดเวลา


5

ความสิ้นหวังก่อให้เกิดเป็นความเจ็บปวด ความเจ็บปวดทวีความรุนแรงจนกลายมาเป็นความเคียดแค้น และความเคียดแค้นก็ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้ผู้คนไม่อาจยอมทนกับสภาพความเป็นอยู่อันเลวร้ายได้อีกต่อไป

“ ไอ้รัฐบาลฆาตกร มึงออกไปได้แล้ว กูจะรอวันที่พวกมึงพบความฉิบหาย ”

ชายชื่อมานิตย์ตะโกนเสียงดังลั่นท่ามกลางกลุ่มผู้ชุมนุมนับพัน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสถึงวันนั้น เพราะสามวันให้หลัง เขาถูกกลุ่มตำรวจจับตัวไป และไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย ภายหลังจากที่รัฐบาลประกาศให้ใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ

เหตุการณ์ต่อจากนั้นยิ่งเลวร้ายลงเรื่อย ๆ เมื่อกลุ่มตำรวจเปิดฉากใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมทั้งแก๊สน้ำตา กระสุนยาง และสายฉีดน้ำแรงดันสูง ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ภาพของเจ้าหน้าที่ปะทะกับฝูงชนถูกนำเสนอผ่านสื่อไม่เว้นแต่ละวัน หลายฝ่ายพยายามเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศยุบสภา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์นองเลือด แต่ก็ไม่เป็นผล

ในขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียดและน่าหวั่นวิตก ก็ได้มีการปล่อยคลิปผู้ชุมนุมกำลังทำร้ายชายผู้หนึ่งจนเสียชีวิต เนื่องจากคิดว่าเป็นคนของรัฐบาล ทราบภายหลังว่าชายที่เสียชีวิตคือนายศิวะ รัตนไพบูลย์ ผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่านางสาววรรณฤดี โดยในคลิปแสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้ชุมนุมได้ทำการจับตัวนายศิวะมาเค้นถามความจริงว่าได้รับการว่าจ้างจากรัฐบาลเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ แต่นายศิวะยืนกรานปฏิเสธ ซึ่งได้สร้างความไม่พอใจแก่ผู้ชุมนุม จึงถูกทำร้ายร่างกายด้วยความโกรธแค้นจนถึงแก่ความตาย

ทันทีที่คลิปนี้เผยแพร่ออกไปก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันหนาหูในโลกโซเชียล ในขณะที่หลายคนคิดว่านายศิวะผิดจริงและสมควรต้องรับโทษที่ตัวเองก่อ ก็มีคนอีกไม่น้อยที่มองว่าการกระทำของผู้ชุมนุมในครั้งนี้เกินกว่าเหตุ อีกทั้งคลิปนี้ยังทำให้หลายคนมองว่ารัฐบาลอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของนางสาววรรณฤดีจริง ๆ

จากคลิปดังกล่าวส่งผลให้สงครามกลางเมืองยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเปลี่ยนมาใช้กระสุนจริงกับประชาชน ศพแล้วศพเล่าที่ถูกยิงทิ้งราวกับผักปลา ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ท้องถนนล้วนเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด และเมื่อเจ้าหน้าที่หันมาใช้อาวุธหนัก ผู้ชุมนุมบางส่วนจึงโต้ตอบด้วยวิธีการที่รุนแรงกลับไป สุดท้ายจึงลงเอยด้วยการบาดเจ็บและสูญเสียกันทั้งสองฝ่าย การตายของนายศิวะได้ก่อให้เกิดการตายอีกหลายร้อยศพตามมา และหลายร้อยศพนั้นได้ทำให้คนกว่าเจ็ดสิบล้านในประเทศต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความขัดแย้ง

ระเบิดเวลาลูกนี้ได้สร้างรอยร้าวให้กับประเทศจนไม่อาจประสานกลับคืนดังเดิมได้อีกต่อไปแล้ว…


4

ก่อนจะสิ้นใจคน ๆ นั้นได้มองมาทางเขา ความผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขามองเห็นน้ำใส ๆ เอ่อล้นอยู่ภายในแววตา แล้วร่างตรงหน้าก็ล้มลงไป ไม่รับรู้อะไรอีกตลอดกาล

“ เฮ้ย มีคนยิงกัน ”

เสียงดังแว่วมาจากบ้านข้าง ๆ เขาสะดุ้งเฮือก รีบคว้าข้าวของที่จำเป็นยัดใส่กระเป๋า แล้วเร่งเท้าออกทางหลังบ้าน เขาโบกรถโดยสารด้วยเงินที่มีติดตัวอยู่ไม่มาก ในหัวเขาคิดแต่เพียงว่าต้องไปให้ไกลที่สุด รถคันนั้นขับพาร่างเขาไปยังต่างจังหวัด จากบ่ายจนพลบค่ำ จากความกังวลเพิ่มมาด้วยความโหยหิว เขาสั่งข้าวแกงริมทางมานั่งกิน ภายในร้านนั้นมีทีวีรุ่นเก่าตั้งอยู่ มันฉายภาพให้เห็นถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสังคม หลังจากการตายของนางสาววรรณฤดี มีทรัพย์ทอง นักวิชาการจากหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการสูญเสียในครั้งนี้เป็นฝีมือของรัฐบาล บ้างก็ว่าเป็นฝีมือของฝ่ายค้านที่วางแผนจัดฉากเพื่อใส่ร้ายรัฐบาล บ้างก็ว่ามีมือที่สามอยู่เบื้องหลังแล้วยุยงปลุกปั่นเพื่อให้สองฝ่ายตีกันเอง มีเพียงสิ่งเดียวที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน คือเหตุการณ์นี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับการเมืองไทยอย่างไม่อาจหวนคืน

เขาขนลุกซู่ วางช้อนลงบนจานข้าวที่ยังเหลือเกินครึ่ง ความโหยหิวที่เคยมีมลายหายไปจนสิ้น ไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าเรื่องราวจะเลยเถิดไปได้ถึงเพียงนี้ เขาวางเงินบนโต๊ะแล้วเดินออกจากร้านทันที ในใจเขาภาวนาว่าอย่าให้มีเรื่องที่เลวร้ายมากกว่าที่เป็นอยู่นี้เลย

แต่ดูเหมือนคำขอของเขาจะไม่เป็นผล เพราะเพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น ภายในร้านข้าวแกงร้านเดิม ทีวีรุ่นเก่าเครื่องเดิม แต่ภาพที่ปรากฏขึ้นในนั้นรุนแรงกว่าเดิม ผู้คนจำนวนมากออกมาชุมนุมประท้วง แต่ละคนมาจากต่างที่ แต่ล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือต้องการขับไล่รัฐบาล แผ่นป้ายที่มีข้อความว่ารัฐบาลฆาตกรชูสลอนทั่วท้องถนน ภายในใจของทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวผสมความผิดหวัง เพราะหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านคนนี้ถือเป็นบุคคลที่น่าจับตามอง ด้วยความที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีหัวคิดทันสมัย จึงกลายเป็นขวัญใจของผู้คนได้ไม่ยาก หลายคนตั้งความหวังว่าคน ๆ นี้จะเป็นความหวังใหม่ของคนไทย แต่ทว่าบัดนี้ความหวังที่เคยมีได้ถูกบดขยี้จนแหลกลาญ ความสิ้นหวังก่อให้เกิดเป็นความเจ็บปวด ความเจ็บปวดทวีความรุนแรงจนกลายมาเป็นความเคียดแค้น และความเคียดแค้นก็ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้ผู้คนไม่อาจยอมทนกับสภาพสังคมอันเลวร้ายนี้ได้อีกต่อไป

“ ไอ้รัฐบาลฆาตกร มึงออกไปได้แล้ว กูจะรอวันที่พวกมึงพบความฉิบหาย ”

ชายชื่อมานิตย์ตะโกนเสียงดังลั่นท่ามกลางผู้ชุมนุมนับพัน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสถึงวันนั้น เพราะสามวันให้หลังเขาถูกกลุ่มตำรวจจับตัวไป และไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย ภายหลังจากที่รัฐบาลประกาศให้ใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ


3

“ เธอจะตายไหม ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ”

คำนี้ลอยวนเวียนในหัวของเขา ก่อนที่มันจะหยุด เมื่อภาพหญิงสาวผู้นั้นปรากฏขึ้นบนจอทีวี

หูของเขาอื้อจนไม่ได้ยินเสียงอะไรต่อจากนั้น เรื่องราวในตอนนี้ไปไกลเกินกว่าที่เขาจะควบคุมได้อีกต่อไปแล้ว

ตึง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

เขาใจหายวาบ หันขวับไปทางต้นตอของเสียง มันดังมาจากประตูบ้าน เขากำปืนคู่กายไว้แน่น ก่อนจะค่อย ๆ ย่องแล้วเปิดประตูออกไป

“ มึงเป็นคนทำใช่มั้ย ไอ้ระยำ มึงนี่หาเรื่องมาให้กูตลอดเลยนะ ”

ชายที่อยู่หลังประตูจ้องเขาอย่างโกรธเกรี้ยว

“ แต่ผมไม่ได้ตั้งใจนะพ่อ ”

“ ไม่ได้ตั้งใจพ่อมึงสิ มึงเอาปืนกูไปใช่มั้ย ”

พ่อพุ่งตัวเข้าคว้าแขนเขา

“ พ่อจะทำอะไร ”

“ กูจะจับมึงส่งตำรวจน่ะสิ คนอย่างมึงอยู่ในคุกน่ะดีแล้ว ดีแต่สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ”

เหมือนมีเข็มร้อน ๆ ทิ่มเข้าไปกลางใจของเขา เขาเคยเจ็บปวดกับคำพูดนี้มานับไม่ถ้วน แต่ความเจ็บปวดทั้งหมดนั้นยังเทียบไม่ได้เลย เมื่อได้ยินคำนี้ออกจากปากบุพการีของตัวเอง ภาพความทรงจำอันเลวร้ายในวัยเด็กผุดเข้ามาในหัว วันที่เขาถูกพ่อทุบตีด้วยความหงุดหงิด เนื่องจากไม่มีเงินไปซื้อเหล้า เขายอมถูกกระทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา เพียงเพราะกลัวว่าถ้าเขาไม่ยอม พ่ออาจจะทิ้งเขาไปเหมือนอย่างที่แม่เคยทำ

“ กูไม่ไปโว้ย!!! ที่กูต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะมีพ่อเหี้ย ๆ อย่างมึงไง ”

เขาระเบิดอารมณ์อย่างสุดกลั้น ก่อนจะเกิดเสียงปืนดัง…ปัง

ไม่รู้เป็นเพราะความกลัวที่จะต้องกลับไปอยู่ในคุก ความโกรธที่ถูกผู้เป็นพ่อต่อว่า ความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา หรือว่าเป็นทั้งสามอย่างรวมกัน กระสุนนัดนั้นถึงได้พุ่งเข้าตรงหน้าอกซ้ายของผู้เป็นพ่ออย่างพอดิบพอดี ก่อนจะสิ้นใจพ่อได้มองมาทางเขา ความผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขามองเห็นน้ำใส ๆ เอ่อล้นอยู่ภายในแววตาคู่นั้น แล้วร่างตรงหน้าก็ล้มลงไป ไม่รับรู้อะไรอีกตลอดกาล


2

1 ชั่วโมงผ่านไป ภัตตาคารอาหารจีนแห่งนี้ก็เกิดเสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วบริเวณ ผู้คนที่อยู่ภายในต่างวิ่งออกมาโดยไม่คิดชีวิต ตามมาด้วยเสียงรถหวอของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งหมดเกิดขึ้นหลังเสียงปืนดังขึ้น 5 นัด

ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง

เขาวิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิตพร้อมกับฝูงชน ก่อนที่ตำรวจจะมาถึง เขาเอามือกุมบาดแผลบริเวณไหล่ซ้าย เลือดสีแดงสดอาบท่วมฝ่ามือของเขา เขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่

เขาชักปืน 9 มม. หมายที่จะยิง แต่เป้าหมายของเขาไหวตัวทัน พร้อมกับคว้าปืนของตัวเองมายิงใส่เขา 2 นัด นัดแรกพลาด แต่นัดที่สองพุ่งตรงเข้าที่ไหล่ซ้าย เลือดแดงฉานไหลกระฉูดพร้อมกระสุนที่วิ่งทะลุร่างเขาไป เขาหนีตายลงมาชั้นล่าง ในตอนนั้นผู้คนแตกตื่นเมื่อได้ยิงเสียงปืน เสียงของชายที่ยิงเขาดังไล่มาติด ๆ

“ จับมันไว้ มันจะฆ่าอั๊ว ”

พนักงานในร้านเริ่มเข้ามาตั้งท่าจะล้อมเขา เขาถือปืนขึ้นขู่หวังให้พวกนั้นถอยกลับไป จังหวะเดียวกับที่เขาเห็นชายผู้นั้นวิ่งลงมาเตรียมจะยิงเขาอีกครั้ง ความกลัวตายแล่นเข้ามาถึงขีดสุด เขาเหนี่ยวไกปืนติดกัน 3 นัด เขาจำไม่ได้ว่าสองนัดแรกเป็นอย่างไร แต่เขาจำนัดสุดท้ายได้ดี เพราะมันพุ่งเข้าตรงกลางหลังของหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอล้มลงไปกองที่พื้นก่อนจะแน่นิ่งไป เขามองยังร่างของเธอด้วยใบหน้าซีดเผือด เหมือนสมองหยุดสั่งการไปชั่วขณะ เขาไม่เคยหวังให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมาเจ็บตัวในเหตุการณ์นี้เลย ไม่รู้นานแค่ไหนที่เขายืนนิ่งเหมือนรูปปั้นอยู่อย่างนั้น

“ เฮ้ย มันอยู่นั่นไง มันเพิ่งยิงผู้หญิง ไอ้เลวเอ๊ย ”

เสียงนั่นปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ ก่อนที่สมองจะสั่งการให้ขาเขาออกวิ่ง วิ่ง และวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่หน้าบ้านของตนเองแล้ว ภายในบ้านว่างเปล่า เขารีบคว้ารีโมทมาเปิดดูข่าวในทีวีด้วยมือที่สั่นรัว ในหัวคิดถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น

“ เธอจะตายมั้ย ๆๆๆๆๆ ”

คำนี้ลอยวนเวียนในหัวของเขา ก่อนที่มันจะหยุด เมื่อภาพหญิงสาวผู้นั้นปรากฏขึ้นบนจอทีวี เขาเร่งเสียงทีวีให้ดังขึ้น

หนุ่มคลั่งบุกยิงในภัตตาคารชื่อดัง ยิงหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านดับ

หูของเขาอื้อจนไม่ได้ยินเสียงอะไรต่อจากนั้น เรื่องราวในตอนนี้ไปไกลเกินกว่าที่เขาจะควบคุมได้อีกต่อไปแล้ว


1

หลังจากเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวเขาก็หยุดชะงัก เมื่อสัมผัสได้ถึงวัตถุบางอย่างตกลงบนกลางกระหม่อม เขาใช้มือสัมผัสบริเวณนั้นก็พบว่ามันเป็นของเหลวใส ๆ ที่มาพร้อมกับกลิ่นแปลก ๆ เขาทนมานานแล้ว แต่ครั้งนี้เขาคิดว่ามันเกินไป เขาจะต้องสั่งสอนให้พวกมันรู้สำนึกซะบ้าง แล้วแววตาของเขาก็เปลี่ยนไปในทันใด กลายเป็นแววตาของปีศาจร้ายที่มาสิงสู่อยู่ในจิตใจของเขา ภาพเมื่อไม่กี่นาทีก่อนแล่นกลับเข้ามาในหัว

“ ลื้อไปหางานที่อื่นทำเถอะ อั๊วไม่อยากรับลื้อ ”

เถ้าแก่มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วส่ายหน้าเบาๆ

“ รับผมไว้เถอะครับ ให้ผมทำตำแหน่งอะไรก็ได้ ”

“อั๊วบอกว่าไม่รับ”

“ ผมขอล่ะครับ ผมอยากทำงานจริง ๆ ”

เขาพยายามอ้อนวอนเพราะคิดว่าถ้าหากเขาได้งานทำ คงจะไม่มีใครหน้าไหนกล้ามาดูถูกเขาได้อีก

“ ร้านกูไม่รับกุ๊ยอย่างมึงเว้ย มึงไปได้แล้ว…ไป๊ ”

เสียงตวาดดังลั่นร้าน จนพนักงานต่างหันมามอง

การที่ต้องถูกไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดในความรู้สึกด้อยค่าของตัวเอง ก่อนที่มันจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น เมื่อเขาเอื้อมมือไปสัมผัสกับของเหลวที่เพิ่งหล่นใส่หัว

“ ไอ้ระยำ มึงถ่มน้ำลายรดหัวกู ”

ความแค้นกักแน่นในทรวงอกเกินกว่าจะระงับไว้ได้ การหยามเกียรติเป็นสิ่งที่เขาเกินจะยอมรับได้จริง ๆ เขาลืมเรื่องการหางานจนหมดสิ้น ในสมองมีเพียงแต่การคิดแก้แค้นเจ้าของน้ำลายบนหัวเขา เขาแสยะยิ้มออกมา เพราะนึกขึ้นได้ว่าพ่อของเขาเก็บปืนพกขนาด 9 มม.ไว้อยู่ เขาหันกลับไปมองยังภัตตาคารจีนนั่นอีกครั้ง สายตาเหยียดหยามคู่แล้วคู่เล่าผุดขึ้นมาในความทรงจำ

“ เดี๋ยวพวกมึงจะรู้สึก ”

1 ชั่วโมงผ่านไป ภัตตาคารอาหารจีนแห่งนี้ก็เกิดเสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วบริเวณ ผู้คนที่อยู่ภายในต่างวิ่งออกมาโดยไม่คิดชีวิต ตามมาด้วยเสียงรถหวอของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งหมดเกิดขึ้นหลังเสียงปืนดังขึ้น 5 นัด

ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง


0

ภายใต้บรรยากาศอันร้อนจัดในเวลาเที่ยงตรง ในใจของศิวะตอนนี้ก็กำลังร้อนรุ่มอยู่ไม่แพ้กัน แสงจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาจนทำให้เขารู้สึกแสบหนังศีรษะ แต่ก็ยังเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บแสบภายในใจที่เขากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้

เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่เขาต้องเดินอย่างไร้จุดหมาย เพื่อที่จะได้มีเศษกระดาษจำนวนหนึ่งไว้ประทังชีวิต มีคนเคยบอกเขาว่าการหางานในกรุงเทพไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งคนที่เคยผ่านคุกตารางมาแล้ว ให้เอาความยากนั้นคูณไปอีกสิบ อันที่จริงเขาเข้าใจความจริงนี้ดี แต่สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดคือสายตาดูถูกเหยียดหยาม ราวกับว่าเขาเป็นตัวเสนียดจัญไรที่ไม่สมควรจะอยู่ใกล้ และควรไล่ออกไปให้พ้นจากชีวิต แม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้แสดงออกมาผ่านคำพูด แต่สีหน้าและแววตาที่เห็นก็ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความดูถูกที่แฝงอยู่ในนั้น

เขาเหลียวกลับไปมองยังภัตตาคารอาหารจีนที่เขาเพิ่งเดินออกมา ตรงประตูหน้าร้านมีกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนติดเอาไว้ว่ารับสมัครพนักงาน แต่เจ้าของร้านคงลืมเขียนลงไปด้วยว่าไม่รับคนขี้ยาและเคยติดคุกอย่างเขา เขายกมือตัวเองขึ้นมาดู มันกำลังสั่นอย่างต่อเนื่อง เขาเคยเป็นเช่นนี้ตอนมีอาการลงแดงหลังจากที่ไม่ได้เสพยามานาน แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ มันเป็นเพราะในใจเขาตอนนี้กำลังโกรธจัด นอกจากเงินแล้วในชีวิตเขามีเพียงสิ่งเดียวที่ปรารถนา คือการที่ไม่ต้องกลับไปใช้ชีวิตในคุกอีก เขาอยากเป็นคนดีให้พ่อภูมิใจบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี เขายังจำความเจ็บปวดเมื่อเห็นพ่อต้องหลั่งน้ำตาตอนเขาติดคุก มันเป็นภาพที่เขาไม่อยากเห็นอีก แต่ทว่าโลกหลังกำแพงช่างโหดร้ายเกินกว่าที่เขาจะรับไหว เขาต้องเผชิญกับสายตาและความรู้สึกเหยียดหยามมานับไม่ถ้วน แต่เขาก็ไม่อาจตอบโต้อะไรกลับไป เพราะเขาไม่อยากหวนคืนสู่นรกนั่นอีก เขาจึงต้องพยายามควบคุมจิตใจ จนเริ่มรู้สึกว่าไฟที่เคยลุกโชนในใจเขาค่อย ๆ มอดลง เขาจึงเดินออกห่างจากภัตตาคารแห่งนั้น แล้วมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งใหม่

เหนือหัวของศิวะ นกพิราบกลุ่มหนึ่งกำลังบินไปมาอยู่โดยรอบ มีตัวหนึ่งในกลุ่มบินผ่านศิวะ พร้อมกับปล่อยของเสียในตัวมันลงบนหัวศิวะอย่างพอดิบพอดี ราวกับเล็งเป้าเอาไว้

หลังจากเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวเขาก็หยุดชะงัก เมื่อสัมผัสได้ถึงวัตถุบางอย่างตกลงบนกลางกระหม่อม เขาใช้มือสัมผัสบริเวณนั้นก็พบว่ามันเป็นของเหลวใส ๆ ที่มาพร้อมกับกลิ่นแปลก ๆ

เขาหันกลับไปมองยังภัตตาคารแห่งนั้นอีกครั้ง บนชั้นสองของอาคาร มีหน้าต่างบานหนึ่งเปิดอยู่ มันเป็นหน้าต่างห้องที่เขาต้องพบกับสายตาเกลียดชังเมื่อครู่ เขาทนมานานแล้ว แต่ครั้งนี้เขาคิดว่ามันเกินไป มันเกินไปจริง ๆ สำหรับเขา เขาจะต้องสั่งสอนให้พวกมันรู้สำนึกซะบ้าง แล้วแววตาของเขาก็เปลี่ยนไปในทันใด กลายเป็นแววตาของปีศาจร้ายที่มาสิงสู่อยู่ในจิตใจของเขา…





โดย นาย กฤษกร สุขสมโฉม , มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

 

ศึกษาจบแล้ว เปิดเนื้อหาต่อไป