เรื่องสั้น "ครึ้ม"
ครึ้ม
ตึง! เสียงเลื่อนประตูเหล็กตัดกระทบวงกบประตูจากบ้านในหมู่บ้านไม่ใกล้ไม่ไกลเมืองแห่งหนึ่ง นี่คือเสียงจากผีมือของหญิงวัยกลางคน ซึ่งด้านหลังของหญิงผู้นี้คือเด็กสาวสวมชุดเครื่องแบบนักเรียน ม.ปลาย อย่างไม่เรียบร้อยนักก้าวตามมาติด ๆ
“ตาล วันนี้ตาลทำไมถึงเป็นเด็กแบบนี้ ที่ผ่านมาตาลทำชีวิตตัวเองให้ดีจนแทบไม่มีใครติเลยไม่ใช่เหรอ กะอีแค่เพื่อนพูดไม่เข้าหูแค่นี้จะก่อปัญหาอะไรหนักหนา…
นี่รู้ไหม แม่ยืนหน้าเตาทำกับข้าวทั้งวันเหนื่อยก็เหนื่อยแต่ก็ทน เจอลูกค้าไม่ดีก็ยิ่งท้อ ค่าข้าวค่าของก็แพง ไหนต้องเลี้ยงต้องส่งให้ใครต่อใครใช้อีก ปีชงก็ไม่ใช่ละ ทำไมวันนี้เจอแต่เรื่องซวย ๆ เนี่ย
แล้วไหนตาลยังหาเรื่องมาให้แม่ลำบากใจอยู่อย่างนี้ แค่ไปโรงเรียน นั่งเรียนหนังสือ ทำคะแนนให้ดีมันยากนักเหรอลูก” หญิงวัยกลางคนเริ่มเอ่ยความในใจออกมาทันทีที่เด็กสาวปิดประตูกระจกและล็อคประตูเหล็กดัดเรียบร้อยแล้ว
“แล้วนี่ตาลจะไปไหน” เธอเอ่ยถามผู้ที่ก้าวไปสองก้าวหลังจากที่เธอบ่นจบ
นัยน์ตาของน้ำตาลมีน้ำตาที่ใกล้จะเอ่อล้น ขณะนี้เธออยากไปจากตรงนี้ให้ไกล อยากจะพูดโต้ตอบสิ่งที่ผู้เป็นแม่พูดแต่กลับกลัว กลัวว่าถ้าเธอเอ่ยความในใจออกมาแล้วจะกลั้นน้ำตาไม่ไหว เธอไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของเธอ เนื่องด้วยมีคนเคยบอกว่าเธอร้องไห้แล้วไม่น่ารัก
“มีอะไรก็พูดมาสิ เคลียร์กันให้จบ ๆ จะไปมีเรื่องกับเพื่อนทำไม อะไรยอมได้ก็ยอมสิ” ประโยคนี้ทำให้น้ำตาลนึกถึงคำพ่อที่ว่า 'ถ้ามีคนมาหาเรื่องตาลนะ ตาลต้องตอบกลับหนัก ๆไปเลย อย่าไปยอม เดี๋ยวคนหาเรื่องมันได้ใจ'
“อย่าทำตัวเหมือนพ่อตาลได้ไหมมีอะไรก็พูด ไม่พูดแล้วแม่จะรู้ไหม หรือแม่ดูแลตาลไม่ดีพอ…”
“แม่!” ตาลกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบดังแฝงความเย็นชา อย่างกับบรรยากาศรอบ ๆ อุณหภูมิ 273 เคลวิน
“ตาลเคยบอกแล้วนะคะ ว่าถ้าเรามีเรื่องกัน อย่าพูดถึงพ่อ” เธอพูดลงท้ายคะ ค่ะ กับแม่ นั่นเป็นสัญญาณว่าเธอไม่ใช่ตาลคนเดิม เพราะการพูดถึง “พ่อ” เป็นเหมือนประกายไฟที่ไปจุดน้ำมันในตัวน้ำตาล
“ตาลเหมือนพ่อสินะคะ คงงั้นแหละค่ะภายนอกก็ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมา ส่วนภายในนิสัยใจคอก็ได้รับการหล่อหลอมมาจากแม่เสียเป็นส่วนมากนี่คะ”
“แล้วอีกอย่าง นั่งเรียนน่ะมันไม่ยาก แต่ถ้าทำความเข้าใจเนื้อหาแล้วก็จำน่ะมันก็ไม่ได้ง่ายเสียทุกวิชา แล้ววันวันหนึ่งตาลนั่งเรียนแค่วิชาเดียวเหรอคะ กิจกรรมตาลก็ทำ กีฬาตาลก็เล่น งานบ้านส่วนมากก็เป็นตาลอีก” เธอหายใจเข้าหนึ่งครั้งแล้วพูดต่อ
“ตาลรู้นะคะ ว่าแม่หวังดี แต่ตาลว่าแม่ผลักตาลให้ไปทางที่ดีแบบผิดวิธีไปหน่อย...
ส่วนเรื่องเพื่อนเดี๋ยวตาลจัดการเอง แม่ไม่ต้องใส่ใจเหมือนเดิมเถอะค่ะ” พร้อมก้าวไปอีกสามก้าว
“แล้วตาลต้องการอะไร เงิน พ่อ หรือครอบครัวสุขสันต์ล่ะ ที่เราไม่เหลืออะไรก็เพราะพ่อของตาลไม่ใช่หรือไง”
“แม่คะ พ่อไม่อยู่กับเราเพราะแม่นั่นแหละค่ะ” น้ำตาลพูดเสียงสั่นและเบา พร้อมยกเท้าขึ้นบันไดไม้ 11 ขั้น ไปชั้นสอง สู่ห้องนอนที่เป็นเหมือนจุดปลอดภัยของเธอ
เมื่อแม่นั่งลงบนเก้าอี้และลูกกำลังเดินไป ต่างฝ่ายต่างก็เพิ่งคิดได้ว่าบางทีมันอาจจะดีกว่านี้ถ้าทั้งสองเปิดใจกันในวันที่บรรยากาศแจ่มใส ซึ่งไม่ใช่ตอนนี้
น้ำตาลก้าวเข้าไปในห้องนอนสีเบจ พร้อมน้ำตาที่หลั่งไหลเหมือนน้ำตกในวันที่มีพายุ แม้จะมีแสงอาทิตย์อัสดงผ่านม่านผ้าฝ้ายสีน้ำตาลอ่อนที่เธอกับพ่อช่วยกันติดฉลองที่เธอขึ้นชั้นประถมหนึ่งผ่านเข้ามา แต่แสงนั้นก็ไม่สว่างพอที่จะส่องให้เธอเห็น ว่าควรเดินไปทางใดต่อหลังจากที่ดวงอาทิตย์จะมาอีกทีในตอนเช้า
สายลมแห้งปลายฤดูฝนผ่านมาอังหน้าเธอเป็นระยะยิ่งทำให้เธอหนาวจนขนลุกทั้ง ๆ ที่อุณหภูมิห้อง 33 องศาเซลเซียส เธอรู้ดีว่าเธอร้องไห้แล้วหยุดยาก ยากพอ ๆ กับการยิ้มในตอนนี้ “พ่อเคยบอกไว้ว่าตาลร้องไห้แล้วไม่น่ารัก แล้วไหนพ่อมาทิ้งให้ตาลร้องไห้อยู่คนเดียวอย่างนี้ล่ะ” คืนนี้เธอคงนอนพร้อมกับความรู้สึกอึมครึมในใจ และตื่นพร้อมความหวังที่ว่าปัญหาจะคลายไปเอง “มันคงเป็นหวังลม ๆ ฝน ๆ สินะ”
เช้าของวันรุ่งขึ้น
อื๊ด อื๊ด อื๊ด
“ฮัลโหล” น้ำตาลทักทายด้วยเสียงที่พึ่งตื่น พร้อมมองนาฬิกาบนผนังห้อง ตอนนี้เข็มสั้นชี้ตรงเลข 7
“ตาลตื่นยัง ฉันเห็นว่าเธอยังไม่อ่านข้อความในกลุ่มอะ ที่ครูนัดซ้อมบาสเลื่อนจากพรุ่งนี้มาเป็นวันนี้แปดโมงนะ” ปลายสายเป็นเสียงของปลาเพื่อนสนิทอีกคนของเธอ
“แปดโมงเหรอ ได้ ๆ เดี๋ยวฉันรีบเก็บของแล้วไปซ้อม ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงถึง อาบน้ำแป๊บ” เธอพูดด้วยเสียงตกใจและร้อนรน
“ตาล ตาล ไม่ต้องรีบ…” เหมือนปลาจะเตือนคนในสายไม่ทันเสียแล้ว
น้ำตาลรีบร้อนทุกอย่างเธอรีบสวมเสื้อกีฬาแขนสั้น กางเกงวอร์ม พร้อมหยิบเสื้อแจ็คเก็ตมาสวมทับอีกที คว้ากางเกงกีฬาขาสั้นมาอีกตัว น้ำเปล่า โทรศัพท์มือถือและของอื่นที่เห็นว่าอาจจะจำเป็นอีกมาใส่กระเป๋าผ้าแคนวาสสีขาวหม่น ทั้งหมดนี้เธอใช้เวลาเกือบยี่สิบนาที
บ้านที่เธออาศัยกับโรงเรียนที่เธอกำลังจะไปอยู่ห่างกันประมาณยี่สิบกิโลเมตร หากใช้รถส่วนตัวก็ใช้เวลายี่สิบนาทีนิด ๆ ก็ถึง แต่หากไปด้วยรถประจำทางจะใช้เวลาประมาณสามสิบนาทีบวกกับต้องเดินต่อกว่าจะถึงที่หมาย ไม่นับกับการนั่งรอว่าเมื่อไรรถจะมา เนื่องจากรถสายนี้ไม่มีตารางที่แน่ชัดบอกเสียด้วย
ด้วยความรีบร้อนน้ำตาลจึงเผลอลืมเรื่องที่ทะเลาะกับแม่เมื่อคืน นึกได้ก็ลงบันไดมาเจอแม่นั่งดูข่าวอยู่บนเก้าอี้ไม้หน้าโทรทัศน์
“ตาลจะหนีออกจากบ้านเหรอ” ผู้เป็นแม่ถามด้วยความสงสัยเพราะเห็นลูกหอบกระเป๋าใบโต
“อะไรนะคะ... ตาลจะไปซ้อมบาสพอดีมีแข่งอาทิตย์หน้า ถ้าจะหนีออกจากบ้านตาลก็ไม่มีที่ให้ไปหรอก เงินก็ไม่ได้มีมากขนาดนั้น” ตาลตอบด้วยเสียงเรียบและงุนงง
“แล้วนี่จะกินข้าวไหมพึ่งหกโมงสี่สิบเอง”
“หกโมงสี่สิบ” เธอตกใจในใจพร้อมมองไปที่ขอบจอโทรทัศน์ด้านบนซ้าย และพบว่ามันไม่ใช่เวลาเจ็ดโมงจะแปดโมงอย่างที่เธอคิด และได้รู้ว่าเธอควรฟังเพื่อนพูดให้จบก่อน “ไม่น่ารีบเลยเรา”
“ข้าวยังไม่กินดีกว่าค่ะ เช้าไปตาลยังไม่หิว” พอเธอพูดจบก็เดินไปหยิบรองเท้าผ้าใบสีขาวจากชั้นวางมาสวม
น้ำตาลสังเกตเห็นขอบตาผู้เป็นแม่บวมเหมือนคนร้องไห้หนักก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก
“ถ้าแม่แสบตาหรือลืมตาไม่ถนัดก็หาอะไรเย็น ๆ มาประคบนะคะ แต่อย่าประคบนานเดี๋ยวเนื้อเยื่อตาย ไปก่อนนะคะ” พอพูดจบเธอก็รีบเดินไปที่ศาลารอรถหลังคาสีเหลืองหน้าปากซอย เดินไปก็คิดพลางไปว่าเธอพูดกับแม่เย็นชาไปหรือไม่ “จริง ๆ ฉันกับแม่ก็ไม่ได้คุยเล่นอะไรนานแล้วเหมือนกันนะเนี่ย ถึงจะเจอหน้ากันกินข้าวด้วยกันทุกวันก็เถอะ” ความสัมพันธ์ของแม่ลูกคู่นี้ยิ่งห่างไปเรื่อย ๆ ตามตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นพร้อมอายุขัยที่ลดลง ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งห่างเหิน บางทีหากไม่คุยไม่เจอกันสักสัปดาห์ พวกเธออาจจะเห็นคุณค่าของการมีกันและกันมากกว่านี้ก็ได้
พอถึงศาลารอรถริมถนนสองเลน ก็พาให้นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่เธอทะเลาะกับเพื่อนคนหนึ่งในทีม เธอสองเคยสนิทกัน แต่มาวันวันนี้อาจเพราะความเหนื่อยหรือเพราะความที่ยิ่งสนิทกันจึงทำให้นึกถึงใจกันน้อยลง ในที่สุดความขุ่นเคืองในใจของน้ำตาลและบัวตองสองเพื่อนรักก็ปะทุขึ้น
ย้อนไปหลังเลิกเรียนของเมื่อวาน
“ตาลเธอน่ะเล่นบาสไม่เก่งก็ขยันซ้อมหน่อยสิฉันอุตส่าห์สอนเธอขนาดนี้แล้วนะ เธอยังทำไม่ได้อีกหรอกะอีแค่ชู้ตลูกกลม ๆ นี่ลงห่วงเอง” บัวตองพูดด้วยความหงุดหงิด
“ฉันก็พยายามซ้อมทุกวี่วันอยู่นี่ไง” น้ำตาลพูดด้วยความน้อยใจ
“ถ้ามันยากขนาดนั้นแกก็เลิกเถอะ ที่แพ้บาสให้โรงเรียนข้าง ๆ ครั้งก่อนก็เพราะเธอ”
“โทษทีที่ฉันไม่มีพรสวรรค์เหมือนเธอ ถึงฉันจะซ้อมหนักเท่าไหร่ก็ยังไม่เก่งเท่าเธอ แต่จะบอกไว้ก่อนนะ ทีม เราแพ้เพราะเธอไม่ใช่หรือไง ที่ไม่รู้จักส่งลูกบาสให้คนในทีมบ้างน่ะ ถ้าเราแพ้เพราะฉันคนเดียว ฉันคงจะเป็นตัวถ่วงทีมที่เก่งมาก ๆ เลยสินะ”
“ใช่ เก่งเหมือนพ่อเธอแหละ พ่อที่ทิ้งแกไว้หน้าโรงพยาบาลแล้วหนีไป… โอ๊ย!” ก่อนบัวตองจะพูดจบน้ำตาลก็ได้ใช้มือขวา มือข้างที่ก่อนเคยพากันข้ามถนน ผลักไปที่ไหล่ซ้ายของบัวตอง จากนั้นก็เกิดการตะลุมบอนของทั้งผู้กรณีและผู้ห้าม ไม่รู้ว่าใครเอาเรื่องนี้ไปแจ้งครูห้องปกตรองจนเรื่องถึงหูผู้ปกครองทั้งสองฝ่าย สุดท้ายก็ได้ขอโทษขอโพยกันจนจบเรื่อง ณ ตรงนั้นน่ะนะ เพราะความจริงเรื่องราวในใจของทั้งสองก็ยังไม่จบอยู่ดี
วันนี้น้ำตาลก็ยังไม่รู้ว่าจะซ้อมบาสร่วมกับบัวตองต่ออย่างไร พอคิดไปคิดมาให้เหนื่อยใจรถประจำทางสองแถวสีน้ำเงินฟ้าที่ดูก็รู้ว่าผ่านการใช้งานมานานก็มาถึง “เหมือนเดิมเลยตั้งแต่จำความได้ จนถึงตอนนี้มีหลายอย่างรอบตัวฉันเปลี่ยนไปแต่ก็ยังมีรถคันเดิมที่ยังไม่เปลี่ยน ที่ลดลงก็มีแค่กระเป๋ารถที่หายไปเปลี่ยนเป็นออดให้กดว่าจะลงตรงไหนแทน” น้ำตาลได้แต่พูดในใจเพราะถึงพูดออกมาก็คงไม่มีใครฟังเธออยู่ดี เมื่อรถใกล้มาถึงน้ำตาลก็ยืนขึ้นพร้อมกับชายชราและหลาน เมื่อรถจอดเธอก็รอให้ทั้งสองก้าวเท้าขึ้นก่อนจึงตามไป โชคดีที่วันนี้คนน้อยอาจจะด้วยเป็นวันที่ฟ้าดูครึ้มเหมาะแก่การนอน กอปรกับโดยปรกติหากไม่มีเทศกาลอะไรหรือไม่ใช่ช่วงเวลาเร่งด่วนรถโดยสารสายนี้ก็จะมีที่ว่างเพียงพออยู่เสมอ น้ำตาลมองหาที่นั่งท้าย ๆ เพราะจะได้ลงไปง่ายไม่แออัด สุดท้ายเธอก็ได้ลำดับที่สามนับจากท้ายฝั่งริมทาง เพราะติดเป็นนิสัยเนื่องด้วยปกติหากนั่งอีกฝั่งยามเช้าแดดจะส่องตา อีกประการคือฝั่งนี้เห็นทิวทัศน์ชัดเจน
เมื่ออยู่บนรถเธอก็ชอบมองสิ่งแวดล้อมที่เธอผ่านทุกวัน ว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง อย่างนาข้าวในช่วงนี้ก็กำลังออกรวงอีกหน่อยก็กลายเป็นสีเหลืองทอง หากผ่านในตอนเช้าที่หนาว ๆ ก็จะเห็นเป็นทะเลหมอก หรือบางอย่างก็หายไปอย่างปั๊มน้ำมันเล็ก ๆ ของป้ารุ้ง แม้น้ำตาลจะไม่เคยคุยกับแกแต่ก็คุ้นหน้าเป็นอย่างดีเพราะรถที่เธอโดยสารหลายคันชอบมาเติมน้ำมันและพูดคุยอย่างสนิทสนมกับป้าแก อาจด้วยปัญหาส่วนตัวหรือด้วยการมีปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่เปิดใหม่ใกล้ ๆ จึงทำให้ป้ารุ้งปิดกิจการไปเมื่อปีก่อน “นึกไปนึกมาก็ไม่มีอะไรจีรังจริง ๆ สักวันเราคงต้องลาโลกเหลือแค่ร่างกับความทรงจำของคนอื่น หมือนปั๊มน้ำมันของป้ารุ้งละมั้งนี่”
รถสองแถวสีน้ำเงินแกมฟ้าวิ่งไปได้ไม่ถึงสิบนาทีก็จอดรับผู้โดยสารอีกสองคนที่ยืนอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ทั้งคู่ดูมีอายุราว 40 ปีปลาย ๆ คนหนึ่งสวมเสื้อยืดสีน้ำเงินอีกคนสวมเสื้อยืดสีขาว ทั้งสองแต่งตัวสะอาดสะอ้านแต่กลับมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาจากชายคนหนึ่ง น้ำตาลไม่มองพวกเขานานเพราะกลัวผู้ที่ใส่เสื้อสีขาวจะรู้สึกว่าเธอมองเขาแปลกเพราะความแตกต่าง จากการมีแขนเทียมที่แลดูผ่านการใช้งานมานาน แต่กลับกันมีสายตาผู้โดยสารบนรถบางคนที่มองเขาไม่เลิก
“ถ้าฉันเป็นลุงเสื้อขาวฉันคงอึดอัดใจไม่น้อย คนเหมือนกันจะมองอะไรนักหนา” น้ำตาลนึกในใจ ใจหนึ่งก็อยากบอกให้คนเหล่านั้นเลิกมองชายเสื้อขาวแต่ก็กลัวว่าจะยิ่งทำให้ชายเสื้อขาวรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร ใจหนึ่งเธอก็คุ้นหน้าชายผู้นี้แปลก ๆ
“สิพากันไปไสหนอหล่า คือพากันมาต่าเซ้าแท้” คุณตาฝั่งตรงข้ามที่ขึ้นรถมาพร้อมกับเธอเอ่ยขึ้นพร้อมมองตาชายเสื้อน้ำเงิน
“พาน้องชายไปโรงบาลแหมตา มื้อนี้หมอนัด” ชายเสื้อน้ำเงินยิ้มให้พร้อมตอบ ชายเสื้อขาวทำหน้านิ่ง
“แล้ว...แขนไปถืกหยังมาล่ะลูก” คุณตาฝั่งตรงข้ามถามไม่หยุด
“อั่น แต่กี้เพิ่นไปเก็บเห็ดกับแม่ ทีนี่ขากลับมันมีรถกะบะคันหนึ่งขับเร็วคัก จักฟ้าวไปไสดอก มาชนน้องข่อยกับแม่ตอนกำลังจะขึ้นมอเตอร์ไซค์เมือเฮือน” หลังจากฟังคำตอบผู้โดยสารที่ได้ยินก็ทำสีหน้าหดหู่
“แล้วคนขับกระบะรับผิดชอบบ่ล่ะอ้าย” หญิงคนหนึ่งบนรถถามต่อ
“กะรับผิดชอบอยู่นั่นล่ะ เพราะมันมีหลักฐานชัดคือคนที่ไปเก็บเห็ดกับสภาพรถกระบะนำ แต่เป็นญาติเด้ เพราะบักคนขับมันชนแล้วหนี หนีแล้วเป็นได๋ ขับรถลงข้างทางชนต้นไม้ สรุปชะตากรรมเดียวกับแม่ข่อยนี่ล่ะ” ชายเสื้อน้ำเงินตอบพร้อมข่มอารมณ์ขุ่นเคืองเล็กน้อยเหมือนชินกับคำถามแล้ว ส่วนชายเสื้อขาวก็นั่งนิ่งเช่นเดิม คนที่ถามก็ได้แต่พยักหน้า ไม่กล้าถามต่ออาจจะเพราะสลดใจในเหตุการณ์นี้
ในทางเดียวกันน้ำตาลก็เหมือนนึกอะไรได้ เมื่อเธอนึกออกน้ำตาก็เริ่มจะเอ่อล้น แต่เธอจะไม่ร้องไห้ เดี๋ยวจะเป็นที่สงสัยได้
ย้อนไปเมื่อแปดปีที่แล้ว ในวันหนึ่งของปลายฤดูฝน
วันนั้นเป็นวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งเหมาะกับพักผ่อนหย่อนใจกับอากาศเย็น ๆ ผสมกลิ่นดินหลังฝนตกใหม่หมาดชวนให้จิตใจสงบ แต่ไม่ใช่กับครอบครัวที่น้ำตาลเป็นสมาชิกอยู่ เรื่องมันเริ่มจากวันลอยกระทงครั้นเมื่อน้ำตาลอายุเจ็ดขวบหรือราวสองปีก่อน ลอยกระทงปีนั้นเป็นวันที่อบอุ่นท่ามกลางอากาศหนาวและเป็นวันที่แม่ของเธอพบกับ ลุงเพชร รักเก่าที่เลิกรากันไปเพราะทนระยะห่างทางกายภาพไม่ไหว ด้วยความสัมพันธ์ของแม่และพ่อที่เหมือนกระดาษบาง ๆ เชื่อมกันอยู่ด้วยน้ำตาล พอพบถ่านไฟเก่า ถ่านนี้ก็เป็นถ่านที่ใช้จุดไฟในเตาพอแม่เป็นคนจุดไฟก็ก่อความร้อนจนน้ำตาลที่เชื่อมทั้งสองอยู่ละลาย สุดท้ายพ่อและแม่ก็แยกทางกัน
มันไม่ใช่เรื่องผิดของคู่ชีวิตที่หมดรักแล้วจะไม่อยู่ด้วยกันเพราะเหตุผลว่าได้สร้างโซ่ทองคล้องใจด้วยกันแล้ว ดีเสียอีกที่จะไป เพราะยิ่งฝืนคนที่ยิ่งเจ็บก็คือคนที่เชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งสองไว้
กลับมาในวันที่ฟ้าสดใสวันนั้นความสัมพันธ์ทั้งสองขาดวิ่นลง แม่อยู่กับลุงเพชร พ่อมากับน้ำตาลด้วยความที่บ้านที่อยู่ด้วยกันเป็นของแม่สองพ่อลูกจึงพากันเก็บข้าวเก็บผ่อนขึ้นท้ายกะบะหวังจะไปบ้านเกิดของพ่อที่จังหวัดข้าง ๆ แต่ด้วยสิ่งที่ไม่คาดคิดนั่นคือย่าของน้ำตาลตกบันไดอาการโคม่า ทำให้พ่อที่ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งเร่งความเร็วรถเผลอชนคนสองคนเข้า แววตาของพ่อเมื่อตอนนั้นน้ำตาลยังจำได้ดี มันเป็นแววตาที่ทั้งตกใจทั้งสับสน ถึงอย่างนั้นพ่อก็ไม่หยุดรถ สุดท้ายพ่อก็ขับรถต่อไปถึงโรงพยาบาลที่ย่าอยู่ ด้วยรอยบุบและคราบเลือดที่ติดบนรถทำให้พ่อฝากน้ำตาลไว้กับญาติที่หน้าโรงพยาบาล พร้อมของจำเป็นและกอดที่ไม่มีใครคิดว่ามันคือกอดสุดท้าย พร้อมหันหลังกลับกับน้ำตาที่กลั้นไว้ ไม่นานนักญาติของน้ำตาลก็ได้ยินข่าวว่าพ่อขับรถแหกทางโค้งลงข้างทางที่นั่งคนขับชนกับต้นไม้พอดี อนิจจาชีวิตหนอชีวิต
สำนักข่าวต่างหูตาไวนำเสนอข่าวไปทั่วประเทศ เมื่อน้ำตาลเข้าโรงเรียนก็ถูกนินทาว่าเป็นลูกฆาตกร “ลูกอย่าไปเล่นกับเด็กคนนั้นนะ” เป็นคำที่น้ำตาลได้ยินจนชินชา แม้จะย้ายไปหลายโรงเรียนแต่ก็หนีคำนินทามิได้หมด เวลาล่วงผ่านไปหลายคนก็ลืมไม่ใส่ใจ แต่น้ำตาลกลับจำได้ดี
ด้านแม่เมื่อญาติฝ่ายลุงเพชรรู้ข่าวก็ห้ามทั้งสองคบกันด้วยเหตุผลว่าแม่เป็นตัวกาลกิณี ญาติฝ่ายแม่บ้างก็ห้ามเพราะบอกว่าเพชรเป็นมือที่สาม บ้างก็ว่าแม่เป็นหญิงสองใจดังนางวันทอง สุดท้ายทั้งสองแม้จะรักแต่ก็สู้คำคัดคานไม่ไหวหรือเพราะรักไม่มากพอก็ไม่รู้ ซึ่งก็สัญญาใจกันว่าหากเรื่องซาลงจะกลับมาแต่งงานกัน ภายหลังแม่ก็พบว่าลุงเพชรมีรักใหม่และแต่งงานกันแล้ว เรื่องของผู้ใหญ่นี่ช่างหนักหนา หนักพอที่จะทับชีวิตเด็กคนหนึ่งไม่ให้ออกไปโลดแล่นเหมือนคนในช่วงวัยเดียวกันได้
ฝ่ายน้ำตาลญาติ ๆ ต่างสงสารทั้งเหตุที่พ่อก่อยังติดตา เหตุที่แม่ทำยังติดอยู่ในใจ แต่สุดท้ายแม่ลูกก็ต้องอยู่ดูแลกัน พอผ่านเรื่องร้าย ๆ มาแม่ก็พยายามชดเชยให้ลูกด้วยสิ่งที่คิดว่าลูกอยากมี ในใจก็ยังรู้สึกผิดปนสับสนจึงทำแต่งาน งาน และงาน เพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่าน จนลืมไปว่าลูกอยากได้เวลาของแม่ด้วย ประกอบกับคำดูถูกของคนรอบตัวว่าลูกของตนโตมาคงเสียคน จึงปลูกฝังลูกว่าต้องเก่ง ทั้งเรียนและกิจกรรมเพื่อไม่ให้ใครมาลดคุณค่าของลูกได้ เจ้าความคิดนี้จริงหรือไม่ ก็ไม่มีใครทราบ เพราะคุณค่าของคนอยู่ที่ว่าใช้เกณฑ์การตัดสินของใคร
ด้วยเหตุนี้น้ำตาลจึงทั้งรักและเกลียดพ่อ จะไม่เกลียดพ่อเลยหากวันนั้นพ่อไม่ลืมพกสติมาด้วย
เก้าปีผ่านไปเรื่องฝังใจแม้จะจางแต่ยังเหลืออยู่ เมื่อมาเจอชายเสื้อขาวแผลในใจก็ชัดขึ้น
“ฉันจะไม่เป็นไร เพราะฉันทุกข์ทุกวันวันละนิดละหน่อย เหมือนวัคซีนนั่นแหละทำให้ร่างกายคุ้นชินจะได้ป้องกันเชื้อโรคจริง ๆ ได้ ปัญหาที่ทำให้ทุกข์ค่อย ๆ แก้ไป แก้ไม่ได้ก็เริ่มใหม่ถ้าโอกาสยังมี” พอนึกได้เธอก็ยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเข้าไปที่แอปพลิเคชันแลน เธอพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่ติดค้างในใจ จบลงด้วย “ขอโทษนะแม่ ที่เมื่อวานตาลโทษแม่ว่าที่พ่อตายก็เพราะแม่ ตอนนั้นบรรยากาศพาไป ขอโทษนะคะ” แม้แม่ของเธอยังไม่ตอบกลับแต่เธอกลับรู้สึกโล่งที่เอาเมฆสีเทาในใจออกได้แล้วส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็คือเรื่องของบัวตอง เธอคิดในใจในแง่ที่ว่าที่บัวตองพูดเรื่องพ่อของน้ำตาลอาจจะเพราะอารมณ์พาไปก็ได้ จริง ๆ เธอไม่ควรใช้กำลังกับบัวตองด้วยซ้ำแต่ถึงอย่างนั้นบัวตองก็เป็นคนใช้อารมณ์ก่อนมันก็เป็นความจริงวันยังค่ำ
ตึ๊ง บัวตองส่งข้อความถึงน้ำตาล “ได้ส่งรูปภาพ” ชานมที่ไปกินด้วยกันประจำหนิ “กินไหมเดี๋ยวซื้อเผื่อ” น้ำตาลเผลอยิ้ม “กินน ไม่ใส่ไข่มุกนะ” ฝ่ายบัวตองก็คงคิดได้เหมือนกัน “ตองไม่ได้วางแผนจะใส่ยาพิษลงในชานมใช่ไหม” “เธออ่านนิยายเยอะไปเปล่า” เธอเผลอยิ้ม พร้อมนึกในใจว่าถ้าเจอกันต้องคุยกันจัดการกันดี ๆ ซะแล้ว นึกอีกทีเมื่อตอนเด็กก็มีบัวตองนี่แหละที่กล้าเล่นกับเธอ
เมื่อเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์เธอก็พบว่าชายเสื้อน้ำเงินและขาวลงไปแล้วเมื่อครู่ ทันใดนั้นเธอก็กดกริ่ง ลงจากรถสองแถว จ่ายเงิน และไปหาทั้งสอง ที่กำลังเดินอยู่บนทางเท้าหน้าโรงพยาบาลประจำจังหวัด
เธอเดินเร็วมาสักพักก็ห่างจากทั้งสองเพียงก้าวกว้าง ๆ เธอชะงักสักพัก พร้อมแหงนมองท้องฟ้า แล้วเดินต่ออีกก้าว
“เผื่อฝนตกจ้า” เธอเอ่ยวลีด้วยเสียงใสกังวานท่ามกลางเสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ ไป ชายเสื้อน้ำเงินหันมา ตามด้วยชายเสื้อขาวพร้อมทำหน้าที่บ่งบอกถึงเครื่องหมายปรัศนี
“หนูเห็นฟ้าครึ้ม ๆ แล้วบ่เห็นลุงถือฮ่มมา พอดีหนูหยิบฮ่มมาสองคัน” “แป๊บหนึ่งเด้อจ้า” เธอรีบค้นกระเป๋าผ้าใบโต หยิบร่มสีดำยื่นให้แด่คนด้านหน้า ทั้งสามยืนนิ่ง… ชายเสื้อน้ำเงินทนความนิ่งไม่ไหวจึงรับร่มไว้
“ขอบใจเด้อหล่า เด็กสมัยนี้มีน้ำใจแท้เนาะ อยู่ดีมีแฮง เรียนหนังสือเก่ง ๆ เด้อหล่า ขอบใจหลาย ๆ” ชายเสื้อขาวอวยพรด้วยความเคยชินและบริสุทธิ์ใจ
“หนูจะไปโรงบาลคือกันบ้อ” ชายเสื้อน้ำเงินถาม
“บ่จ้า... เอ้าฝนกำลังมา หนูไปก่อนเด้อลุง” พูดจบเธอก็หันกลับวิ่งต่อไปโรงเรียนซึ่งอยู่ละแวกนั้น ปล่อยให้ทั้งสองงุนงง
เธอเดินพลางหันมองทั้งสองเดินไปข้างหน้าพลางท่ามกลางสายฝน หวังว่าหยาดน้ำนี้จะช่วยชะล้างจิตใจที่เหนื่อยล้าไป วอนละอองพิรุณช่วยปรับสมดุลแห่งสติในใจผู้คน มิให้ใครต้องมาทนทุกข์เพราะความผิดพลาดของตนหรือของผู้ใดอีกเลย และวอนสายฝนให้ช่วยชะล้างเรื่องในอดีตออกจากใจ ให้น้ำตาลไปข้างหน้าโดยไม่ต้องกังวลหลังเช่นนี้ที
โดย นางสาว นิภาดา ญายะนันท์ , โรงเรียนสตรีศึกษา