เรื่องสั้น "เมาฝัน"
เมาฝัน
สำหรับเธอในตอนนี้แล้ว ภาพเบื้องหน้าคือภาพมายา มายา…คือสิ่งไม่จริง มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวง ลวงให้เฟิร์นออกไปจากที่นี่…เธอคว้าขวดแก้วทุบแตกจนเกิดเป็นรอยร้าวรูปสามเหลี่ยม กลายเป็นอาวุธปลายแหลมอย่างสมบูรณ์ “ทำลายมันทิ้ง” นั่นคือหนทางเดียว เธอลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งพุ่งตรงไปข้างหน้า ปลายทางปรากฏแสงขาวสว่างจ้าฉายประกอบภาพมายา “เจ้าหนู พุ่งเข้ามาเลย แล้วหนูจะได้เห็นในสิ่งที่หนูหลงลืมมันไป”
ตะวันเพิ่งลับขอบฟ้าอย่างอาลัย แสงสว่างบนถนนถูกจุดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองกาลเก่าที่ผ่านพ้นสู่ค่ำคืนสองทุ่มสามสิบนาที เฟิร์นกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในร้านขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนร้านอาหารธรรมดาริมถนน ภายในร้านก็เงียบเหงา ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน เฟิร์นหันซ้ายหันขวามองหาเพื่อนคนสนิทของเธอ ปอย…หญิงสาวผมสั้น ในชุดกางเกงขาสั้นสีชมพูนุ่งเลยเหนือเข่าและเสื้อสายเดี่ยว ดูผิดแปลกไปจากเดิม หรือเพียงเพราะว่าปอยไม่ได้ติดต่อมาเธอมานาน ในครั้งสุดท้ายที่เราสองคนคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ ปอยบอกเพียงว่าความใฝ่ฝันของเธอคือไปยังสถานที่ที่มีแต่ความสุขอันเป็นนิจนิรันดร์ หลังจากนั้นเธอก็ไม่ติดต่อกลับมาเลย ทว่าตอนนี้เธอนั่งอยู่ตรงโต๊ะริมร้าน เฟิร์นเดินเข้าไปหา กลับรู้สึกไม่มั่นใจอย่างบอกไม่ถูก เธอคนนั้นอาจจะไม่ใช่ปอย หรือว่าเธอจะเข้าผิดร้าน?
ไม่สิ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ก็ในเมื่อเธอเดินมาตามเส้นทางที่ปอยส่งมาให้ทางโทรศัพท์ ร้านอาหารร้านเล็กๆ เขตชานเมืองคือสถานที่นัดหมายระหว่างเธอกับปอย สถานที่แห่งนี้แท้จริงแล้วคือสถานเริงรมย์ในยามรัตติกาล ร้านที่จะทำให้ทุกๆ ความทุกข์ระทมแปรเปลี่ยนเป็นความสุขด้วยเพียงแค่เหล้าหนึ่งแก้วได้จริงตามอย่างที่ปอยบอกหรือไม่ เฟิร์นไม่รู้ แต่ตอนนี้เด็กสาวยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ลองดูสักหน่อยจะเป็นไรไป
ทันทีที่เสียงกระดิ่งดังขึ้น หญิงสาวผมยาวสลวยภายใต้หน้ากากนกฟีนิกซ์นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ลุกขึ้นมาต้อนรับลูกค้า สิ่งแรกที่เฟิร์นถูกถามจดลงในสมุดคือสิ่งที่เธอต้องการ เธอใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักร้อง แต่ทว่ากลับมีอุปสรรคมากมาย หญิงสาวเติบโตขึ้นมาด้วยกรอบของการเลี้ยงดูของแม่ผู้ต้องการให้ลูกสาวเติบโตมีอาชีพที่มั่นคง ไม่หมอหรือครู หาใช่นักร้องไส้แห้ง ทั้งชีวิตของเธอถูกยัดเยียดด้วยคำเกลี้ยกล่อมสารพัด การถูกบังคับให้เธอต้องกระทำในสิ่งที่แม่ของเธอมองว่านั้นคือสิ่งที่ประเสริฐที่สุดตั้งแต่ยังเล็ก ประหนึ่งจับพู่กันแต่งแต้มผ้าสีขาวด้วยมือของแม่เองเพื่อวาดฝันลวงโลกให้เด็กสาว ความเชื่อที่ผิดเพี้ยน กระแสค่านิยมของสังคม หญิงสาวผู้เติบโตจนกระทั่งวันนี้ย่อมพยายามทำลายกรอบเหล่านั้น จับพู่กันแต่งแต้มสีลงบนผ้าสีขาวและวาดฝันด้วยมือของเธอเอง มิใช่ฝีมือของมารดา
แต่มีหรือที่แม่จะฟัง ย้อนกลับไปหนึ่งชั่วโมงก่อนที่เฟิร์นจะมายังร้าน เสียงของลูกกลายเป็นเพียงแค่เสียงกระซิบไร้ความหมาย เธอกลายเป็นลูกอกตัญญูและเนรคุณในสายตาของแม่ทันที ในบ้านอัดแน่นด้วยไฟแห่งโทสะ เฟิร์นหมดความอดทนอีกแล้ว ความฝันก็เป็นเสมือนหมึกอันเลือนราง นั้นทำให้เธอมายังสถานที่ที่เชื่อว่าจะลบความทุกข์ให้เปลี่ยนเป็นความสุขด้วยเหล้า ถึงแม้จะเคยได้ยินในข่าวปรากฏภาพครึกโครมเกี่ยวกับอุบัติเหตุจากสุรา แต่ถ้ามันนำมาซึ่งความสุข เธอก็ย่อมแลกกับมัน
“อ้าว…เฟิร์น ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” น้ำเสียงแหบห้าวและไม่ดังก้องกังวานเหมือนแต่ก่อน “มาสิ…นั่งลงตรงนี้” เธอหยิบยื่นแก้วใส ภายในบรรจุของเหลวใสสีเหลืองมีฟองอากาศล่องลอยอยู่ เพียงแค่แก้วเดียวจะให้เธอพบกับความสุขในสิ่งที่เฟิร์นต้องการ
“ดื่มเลยสิ..เฟิร์น ถ้าเธอดื่มยิ่งมันเยอะๆ เธอก็จะลืมความทุกข์และพบกับความสุขไง” อีกฝ่ายคะยั้นคะยอบอกให้เธอดื่มมันเข้าไป เฟิร์นตัดสินใจยกแก้วดื่มขึ้นอึกใหญ่ สัมผัสได้ถึงรสหวาน ละมุน ไม่มีรสขมประหลาดอย่างที่เขาเขียนบรรยายไว้บนโลกอินเทอร์เน็ต กลิ่นหอมชวนให้เธอเคลิบเคลิ้มไปกับมัน เฟิร์นยกดื่มขึ้นอีกเป็นแก้วที่สอง บรรยากาศโดยรอบก็พลันแปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์ จากสถานเริงรมย์ที่เคยเงียบเหงากลายเป็นประดับประดาไปด้วยแสงไฟหลากสีสลับไปมาและเบียดเสียดไปด้วยผู้คน
เสียงดนตรีบรรเลงขึ้นเป็นห้วงทำนองตามตัวโน้ต ไม่นานปรากฏเสียงร้องอันงดงามเปี่ยมล้นด้วยพลัง สะกดสายตาผู้คนในสถานเริงรมย์ราวกับถูกร่ายเวทมนตร์คาถาใส่ เสียงเพลงกล่อมประสาทชวนให้สายตาจับจ้องไปยังเธอ หญิงสาวผมยาวภายใต้หน้ากากนกฟีนิกซ์สีแดง เธอเยื้องย่างเข้ามาหาเฟิร์นด้วยท่วงท่าสง่างาม
ครั้นเมื่อสบตากับอีกฝ่าย ใบหน้าอารีของหญิงสาว กลิ่นกายเจือด้วยน้ำหอมกุหลาบ หญิงสาวในหน้ากากที่เคยนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ เธอหยิบยื่นไมโครโฟนให้กับเฟิร์น “รับไปสิหนู แล้วเปล่งเสียงอันทรงพลังของเธอออกมา ให้โลกได้รับรู้ถึงตัวตนและความสามารถของเธอเอง” เฟิร์นเลือกที่จะไม่ลังเล คว้าไมโครโฟนจากมือหญิงสาวคนนั้นทันที ในเมื่อโอกาสที่เธอจะได้เป็นตัวของตัวเองก็มาถึง
เสียงดนตรีบรรเลงขึ้นเป็นห้วงทำนองอีกครั้ง ไม่นานก็ปรากฏเสียงร้องของเด็กหญิงตัวน้อย หาใช่เสียงหญิงสาวในหน้ากาก เสียงแก้วใสดังก้องกังวาน สะกดสายตาผู้คนในสถานเริงรมย์ เฟิร์นเปล่งเสียงร้องสุดพลัง จนเมื่อโน้ตของบทเพลงบรรเลงจบเลง ทุกคนต่างลุกขึ้นปรบมือให้กับเธอ นี่สินะคือความสุข… ความสุขของการกระทำในสิ่งที่เธอรักไม่ใช่กรอบที่ถูกสร้างขึ้น มันได้เปล่งประกายผ่านรอยยิ้มและแววตาปรากฏเด่นชัดบนใบหน้าของเฟิร์น
“ถ้าดื่มยิ่งมันเยอะๆ เธอก็จะลืมความทุกข์และพบกับความสุข” เสียงของปอยหวนกลับมาผุดขึ้นในหัว ถ้ายิ่งดื่มความสุขก็จะมากขึ้น ไม่รอช้าเฟิร์นก็ยกขวดสุราที่วางเรียงอยู่ข้างตัวนับสิบขวด รินใส่แก้วแล้วยกดื่มขึ้น ความทุกข์ระทมเพียงแค่ลบมันไปด้วยเหล้า ตอนนี้เฟิร์นพร้อมแล้วกับชีวิตในโลกที่มีเพียงแต่ความสุขด้วยแอลกอฮอล์
จากสถานเริงรมย์ที่ประดับประดาไปด้วยแสงไฟ ได้แปรเปลี่ยนเป็นสถานที่ร่มรื่นด้วยเงาไม้ ระหว่างทางรายล้อมด้วยตึกสูงเสียดฟ้าในมหานคร เฟิร์นลืมตาตื่นขึ้นรอบข้างปรากฏผู้คนมากหน้าหลายตา “ยินดีด้วยนะเฟิร์น ในที่สุดก็สอบติดแล้ว” เสียงของปอยดังขึ้นตรงหน้าและหญิงสาวในหน้ากากนกฟีซิกซ์ เฟิร์นได้พบกับเธออีกครั้ง “ยินดีด้วยเช่นกัน” เฟิร์นสบตากับทั้งสองผ่ายแล้วกล่าวคำขอบคุณ รอมยิ้มและความสุขไม่ต้องถามถึง มันปรากฏเด่นชัดอยู่บนใบหน้าและแววตา
อีกความใฝ่ฝันของเด็กสาววัยสิบแปดปีบริบูรณ์อย่างหนึ่งคือการสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยโด่งดังทางด้านดนตรี นั้นคือประตูสู่หนทางอาชีพนักร้องที่เธอวาดฝันที่เปรียบเสมือนการเดินขึ้นยอดเขาอันสูงใหญ่ ในขณะที่เธอเป็นเพียงมดหรือแมลงตัวน้อยๆ กว่าจะไปถึงคงใช้เวลานาน และเธอก็ทำมันสำเร็จ แน่นอนว่าถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดสำหรับนักเรียนมัธยมปลายที่ใกล้จะจบการศึกษา ครอบครัวก็ควรจะยินดีให้กับเด็กเหล่านั้น แต่เฟิร์นก็สำเหนียกตัวเองดีว่าถึงอย่างไรแม่ผู้ก่อกำเนิดและสร้างเส้นทางไว้ให้สำหรับเธอ ความชอกช้ำปรากฏขึ้นใบหน้าเมินเฉยไร้ซึ่งความรู้สึกของหญิงสาวย่อมไม่ยินดีแม้แต่น้อย
เฟิร์นตบหน้าตัวเองเบาๆ เรียกสติให้กลับมา เธอพร้อมแล้วกับการเป็นเจ้าชีวิต ตอนนี้เธอกำลังมีความสุขบนเส้นทางสายหลักอันเป็นการตัดสินใจของตน หาใช่เวลาคิดถึงมารดาที่เอาแต่ออกคำสั่งและควบคุมตัวเธอ
“แกมันไม่ได้เรื่อง! คิดจะทำแต่อาชีพโง่ๆ เด็กอย่างแกเกิดมาเพื่อเนรคุณพ่อแม่” เสียงอันคุ้นเคยสำหรับเฟิร์น ตะคอกเด็กสาวด้วยน้ำเสียงพลังอำนาจ เฟิร์นแทบทรุดตัวลงจากพื้น ร่างบางสั่นสะท้านไปทั่ว หากมองไม่ผิดบนฝากฟ้าเมฆดำก่อตัวขึ้นเป็นใบหน้าบุพการีที่กำลังเย้ยหยันตัวเธอด้วยคำพูด ในมือของเฟิร์นถือขวดสุราไว้โดยที่เธอไม่ยักจะรู้ว่าถือไว้ตอนไหน
“ความทุกข์ระทมก็แค่ลบมันไปด้วยเหล้า” เสียงของปอยดังขึ้นในห้วงความคิด เฟิร์นยกขวดดื่มขึ้นทันทีอยู่หลายอึก “หายไปซะ ลืมไปซะ หายไปซะ ลืมไปซะ” เฟิร์นหลับตา แต่รับรู้ได้โลกทั้งใบหมุนกำลังเคว้งและทรุดตัวลงกับพื้น
สัมผัมแรกที่ได้รับคือฟูกนุ่มๆ เฟิร์นลืมตา และพบว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงของเธอ สวมเสื้อชุดเดียวกับที่ใส่ในร้าน เฟิร์นยังรู้ตัวและยังจำเหตุการณ์ก่อนหน้าได้ เธอตัดสินใจเดินลงจากชั้นสอง บรรยากาศรอบบ้านเงียบสงัดไม่มีเสียงใดตอบกลับในยามที่เด็กสาวตะโกนเรียก นั้นบ่งบอกได้ว่าแม่ของเด็กสาวไม่อยู่บ้านมันทำให้เธอรู้สึกสบายใจไปเปราะหนึ่ง คงไม่มีเสียงของแม่ดังก้องขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ในขณะที่เฟิร์นเดินกลับไปยังห้องตัวเองบนชั้นสอง ระหว่างทางเหลือบเห็นซองจดหมายวางอยู่ตรงโต๊ะรับแขกที่ถูกจัดวางไว้กึ่งกลางบ้าน จ่าหน้าซองถึงเธอ ภายในจดหมายปรากฏเนื้อความเขียนด้วยลายมือ กล่าวเพียงว่าแม่ของตนนั้นจะไม่อยู่บ้านซักระยะ อีกสองสามวันคงจะกลับและขอให้เฟิร์นดูแลตัวเองและระวังตัว
ทันทีที่เฟิร์นอ่านจบ เธอกระโดดโหยงจนตัวลอยด้วยความดีใจราวกับได้รับอิสระภาพครั้งใหม่ ไม่มีกรอบที่ไม่เคยปล่อยให้เป็นอิสระ ไม่มีผู้บังคับและควบคุมเธออีกต่อไป เธอกลับเข้ายังห้องนอนหยิบกีต้าร์ตัวโปรดบริเวณหลังตู้หนังสือ ดีดเป็นจังหวะตามตัวโน้ต และร้องเพลงไปพร้อมกัน นานแล้วที่เธอไม่ได้จับกีต้าร์ร้องเพลง เพราะทุกครั้งจะถูกแม่ห้าม ความหวังของบุพการีที่ต้องการให้เธอจดจ่อมุ่งสู่การเป็นหมอเท่านั้นเป็นเสมือนหมากตัวหนึ่งที่ดำเนินไปเพื่อกอบกู้หน้าและคำยกยอของแม่ แต่ตอนนี้ไม่มีใครห้ามให้เธอต้องหยุดร้องเพลงได้อีกต่อไป
เสียงเพลงยังคงบรรเลงไปเรื่อยๆ กระทั่งตัวโน้ตสุดท้ายของบทเพลงสิ้นสุดลง วินาทีนั้นปรากฏเสียงกรีดร้องดังขึ้นสะท้าน พื้นห้องสีเขียวแปรเปลี่ยนใบหน้าขยายใหญ่ขึ้น ปากสีแดงแสดงออกถึงความเย้ยหยันจนกลายเป็นใบหน้าของคนที่เฟิร์นรู้จัก แม่ของเด็กสาว
“แกมันไม่รักดี ฉันบอกแกแล้วไงว่าห้ามเล่นกีต้าร์ อ่านหนังสือเท่านั้น แกต้องเป็นหมอ” เสียงของแม่แผดลั่นจนเด็กสาวใจสั่น ยกมือขึ้นปิดหู แล้วรีบเปิดประตูออกจากห้อง แต่ทว่าใบหน้าของแม่โผล่ขึ้นไปทั่วบ้าน คำพูดทำร้ายจิตใจดังขึ้นเรื่อยมือที่ยกปิดหูไม่อาจปัดป้องได้อีก
“ความทุกข์ระทมก็แค่ลบมันไปด้วยเหล้า” คำพูดดังขึ้นในหัวของเฟิร์นอีกครั้ง เธอหันไปรอบกาย ปรากฏสุราขวดใหญ่วางอยู่อยู่บนโต๊ะในห้องครัว ไม่รู้เลยว่าของเหล่า อยู่ในบ้านของเธอได้อย่างไร เฟิร์นไม่ลังเลคว้ามือหยิบแล้วรีบเปิดขวด หลับตาแล้วยกดื่มขึ้นจนหมดเพื่อลบเลือนทุกอย่าง เพียงแต่คราวนี้ใบหน้าแม่และเสียงเหล่านั้นยังไม่เลือนหายไป
“หยุด…หยุดซะที” เฟิร์นกรีดเสียงร้อง จู่ๆ เสียงนั้นก็ดับไป แต่ใบหน้าแม่ของเด็กหญิงในที่กำลังปริปากไม่สูญหายไปเป็นเพียงภาพที่หยุดการเคลื่อนไหวราวกับโลกและเข็มกาลเวลาหยุดหมุน ภาพเบื้องหน้าปรากฏเป็นหญิงสาวคนเดิมคนที่เธอคุ้นเคย หญิงสาวคนนั้นปรากฏตัวโดยที่ไม่สวมหน้ากาก เผยให้เห็นโฉมใบหน้าอันงดงาม ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าใบหน้าของเธอดูเหมือนหน้าของเฟิร์นไม่มีผิด
“เด็กน้อยได้เวลากลับแล้ว…กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง” โลกแห่งความเป็นจริงที่อีกฝ่ายเอ่ยถึง คงหนีไม่พ้นกรอบที่แม่วางเอาไว้ให้ ที่เธอจำต้องมีสภาพเหมือนหุ่นยนต์ เมื่อยามออกนอกลู่นอกจากก็จะถูกลบล้างโปรแกรมแล้วป้อนคำสั่งเข้าไปใหม่
“โลกแห่งความเป็นจริง… ไม่! หนูไม่กลับ หนูจะอยู่ต่อที่นี่” คำพูดของหญิงสาวทำให้เฟิร์นส่ายหน้า แน่นอนเธอไม่ยอมกลับเพราะในเมื่อเธอกำลังจะได้ทำในสิ่งที่เธออยากทำ
“หนูน้อย…หนูไม่รักแม่อย่างงั้นหรอกหรอ” คำถามจากอีกฝ่ายนั้นทำให้เฟิร์นกลับสะดุ้งในใจ เฟิร์นไม่เคยสัมผัสคำว่า “รัก” จากแม่ เธอเองไม่เคยเชื่อในความรักของบุพการีเยี่ยงแม่ของเธอ…แม่ไม่เคยรักและภูมิใจ ไม่เคยแม้แต่จะชื่นชม มีเพียงแค่การพยักหน้าตอบกลับเมื่อลูกของตนทำในสิ่งที่แม่ต้องการ ทั้งการดุด่าลงโทษเมื่อเฟิร์นขัดคำสั่งด้วยถ้อยคำอันเหยียดหยาม
“ไม่…แม่ไม่เคยรักหนู…แม่ไม่เคยภูมิใจ….ในตัวหนู…ดังนั้นหนูจะอยู่ที่นี่ อยู่ตลอดไป” ความทุกข์ระทมหวนกลับเข้าสู่ห้วงความคิดส่งผลให้เฟิร์นไม่ไปจากที่นี่
“งั้นฉันจะทำให้เธอได้เห็น” หญิงสาวที่เมื่อครู่ยังดูสุขุม บัดนี้กลับวางมาดน่าเกรงขาม เธอใช้นิ้วชี้วาดรูปบนกลางอากาศราวกับผู้วิเศษในนิทาน ไม่นานนักปรากฏเป็นกระจกสะท้อนฉายภาพของเฟิร์นในโลกของความเป็นจริง
สภาพของเด็กสาวเมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่เลือด บทเพลงที่เธอเปล่งเสียงร้องอย่างมั่นอกมั่นใจก็กลับฟังไม่ได้ศัพท์ ผิดเพี้ยนไปทั้งหมด ท่าเต้นที่เธอดูเองยังต้องตลกตาม และเส้นทางที่เด็กสาวเคยปราบปลื้มยินดี แท้จริงแล้วคือเธอในสภาพเยี่ยงคนบ้าเสียสติ เดินโซเซอยู่กลางถนนสายใหญ่ มีรถบดคันใหญ่วิ่งแล่นเฉียดเธอไปหลากนับสิบคัน บางคันต้องเหยียบเบรกกระทันหันนั้นส่งผลเสียต่อสมดุลการจราจร กระจกต่อมาปรากฏขึ้น ฉายภาพเด็กสาวนอนสลบอยู่กลางร้านโชห่วยสภาพเมามาย มีกลิ่นเหล้ากระจายไปทั่ว
“ไม่จริง! หนูไม่เชื่อ” สำหรับเธอในตอนนี้แล้ว ภาพเบื้องหน้าคือภาพมายา มายา…คือสิ่งไม่จริง มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวง ลวงให้เฟิร์นออกไปจากที่นี้ …เธอคว้าขวดแก้วทุบแตกจนเกิดเป็นรอยร้าวรูปสามเหลี่ยม กลายเป็นอาวุธปลายแหลมอย่างสมบูรณ์ “ทำลายมันทิ้ง” นั่นคือหนทางเดียวเพื่อที่เธอจะขังตัวเองในโลกที่เธอเชื่อว่านี่คือความสุขอย่างแท้จริง ปลายทางปรากฏแสงขาวสว่างจ้าฉายประกอบภาพมายา
“เจ้าหนู พุ่งเข้ามาเลย แล้วหนูจะได้เห็นในสิ่งที่หนูหลงลืมมันไป” สิ้นเสียงอีกฝ่าย ปลายแหลมของอาวุธทิ่มแทงเข้าสู่กายหยาบ โลหิตไหลอาบร่าง โลกที่เคยหยุดหมุน บัดนี้เข็มนาฬิกากำลังเคลื่อนไปข้างหน้า ใบหน้าของแม่เด็กสาวขยับกำลังสลายหายไปกลายเป็นฝุ่นละออง ปากสีแดงเอ่ยเป็นครั้งสุดท้าย “เฟิร์น…แม่รักลูก”
……………………………………………………………………….
แสงแดดในยามเช้าสาดส่องผ่านช่องว่างที่บานหน้าต่างเปิดออก เสียงนกร้องนั้นทำให้เด็กสาวลืมตาตื่น เธอกำลังนอนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวโพลนในบ้าน แม่ของเด็กสาวยืนอยู่ตรงนั้นกับหญิงสาวสวมหน้ากาก
“ลูกเป็นยังไงบ้าง แม่เป็นห่วงแทบแย่ จู่ๆ ก็มีพี่ผู้หญิงมาช่วยลูกเอาไว้ ตอนที่ลูกนอนสลบอยู่ในร้านโชห่วย”
เฟิร์นนิ่งเงียบ พลางนึกถึงคำพูดของหญิงสาวสวมหน้ากากนกฟีนิกซ์และเหตุการณ์ก่อนหน้าประหนึ่งความฝันอันเลือนลาง ถ้าหากจำไม่ผิด อาวุธปลายแหลมไม่ได้ทิ่มแทงไปที่หญิงสาวแต่กลับเป็นร่างของเธอเองที่อาวุธปลายแหลมที่ถูกอาวุธทิ่มแทง ด้วยฝีมือของหญิงสาวนั่นคงถือเป็นการดึงเอาตัวของเฟิร์นกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
“แม่จะรักหนูอยู่มั้ยคะ…แล้ว…จะภูมิใจในตัวหนูมั้ย…ถ้าเกิดหนูบอกว่าหนูไม่ได้อยากเป็นหมอ”
หญิงสาวเบื้องหน้าถอนหายใจเบาๆ “เฟิร์น…แม่รักลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะเลือกเดินทางเส้นทางไหนแม่ก็รักและภูมิใจในตัวลูกเสมอ แม่พยายามที่จะอธิบายให้ลูกฟังแต่ลูกกลับเดินหนีและบอกว่าแม่ไม่รักหนู รังเกียจหนู เฟิร์น แม่อาจจะผิดหวังบ้าง แต่แม่ไม่เคยไม่รักลูกและรังเกียจลูกเลย แม่ขอโทษที่อาจจะพูดจาไม่ดีกับลูกจนลูกต้องเอากลับไปคิด แต่ยังไงแม่ก็รักและภูมิใจในตัวลูกเสมอ”
เฟิร์นได้ฟังถึงกับเงียบ เป็นอย่างนั้นจริงๆ เธอเอาแววตาผิดหวังของแม่มาหลอกหลอนตัวเธอเอง จนกลายเป็นความทุกข์ เพื่อที่จะลบเลือนมันไปเธอจึงปรุงแต่งความสุขด้วยเหล้า โลกแห่งความสุขที่ความทุกข์ลบด้วยได้อบายมุขเป็นเพียงแค่การหลอกตัวเองเท่านั้น ปรุงแต่งว่านั้นคือความสุขและถอดถอนสติออกจากความจริง
เมื่อความทุกข์ถูกขมวดลงที่ความเข้าใจ การเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกัน สองแม่ลูกโผเข้ากอดกันอย่างที่ไม่เคยทำมาในตลอดหลายปี ความทรงจำในอดีตถือเป็นเครื่องเตือนสติ เฟิร์นไม่ขอกลับไปยุ่งเกี่ยวกับสุราน้ำนรกอีกแล้ว สำหรับเธอความสุขในมายาแท้ ไม่มีความทุกข์ระทมในหัวใจหลงเหลืออยู่นั้นดีกว่าเห็นๆ
ชั่ววินาทีนั้นเฟิร์นนึกถึงขึ้นได้ หญิงสาวผู้ช่วยเหลือเธอ เธอยังไม่ได้กล่าวขอบคุณสักคำ ไม่ทันไรหญิงสาวผู้นั้นก้าวฝีเท้าเปิดประตูออกจากห้องไปเสียแล้ว หากเฟิร์นมองไม่ผิดหญิงสาวอยู่ในชุดราตรีสีแดง ผมยาวสลวยเหมือนอย่างหญิงสาวในหน้ากากนกฟีนิกซ์ไม่มีผิด…
-จบ-
โดย นาย กณิศ เรืองขำ , โรงเรียนบูรณะรำลึก