เรื่องสั้น “สาบานได้เลยว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย”
สาบานได้เลยว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะทำแบบนี้
พี้ยา เมาหัวราน้ำกลับบ้าน แล้วตื่นมาในอีกสองสามวันหลังจากนั้นพร้อมกับอาการแฮงค์
นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการแล้วล่ะ ผมจะออกไปหางาน ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่กรุงเทพ
อาการปวดหัวคลื่นไส้ทำให้ต้องขอตัวกลับบ้านก่อน ผมเดินออกมาจากบ้านของคิมหลังจากเราปาร์ตี้กันเสร็จ บอกลาคิมก่อนที่เขาจะหันมามองนิ่ง ๆ และไม่ตอบอะไรกลับมา
เขาดูแปลกไป ตาดำของเขาลอยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สติของเขาของคงเหลือน้อยพอ ๆ กับผมตอนนี้ เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว แน่นอนว่าเรากินเหล้าไปมากกว่าปกติหลายเท่าตัว รวมถึงการใช้ยาด้วย
ผมเดินโซเซไปที่ประตูบ้านหลังเก่า เหงื่อชุ่มเต็มตัวสวนทางกับอากาศหนาวเย็นในเดือนธันวาคม ใครสักคนยืนอยู่หน้าประตู ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นใครแต่ดูคุ้นตา อาจจะเป็นพ่อของคิมที่เข้ามาเช็คความเรียบร้อยเป็นปกติ พลันอาการปวดหัวรุนแรงขึ้น คลื่นไส้ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ คลื่นอาเจียนตีเหียนขึ้นมาอีกครั้ง อะไรสักอย่างจุกอยู่ที่คอ
ผมต้องออกไปจากที่นี่
‘ปัง !!!’ เสียงปริศนาดังขึ้น มือทั้งสองข้างยกขึ้นไปกุมที่หูโดยอัตโนมัติ
‘อะไรกันวะเนี่ย’ ผมคิดในใจ
เป็นเรื่องดีที่เสียงนั้นทำให้คนตรงหน้าประตูหลีกไปอย่างง่ายดายเลย ผมหันกลับไปมองคิม เขายังมีท่าทีสงบนิ่งเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าจะมีแค่ผมคนเดียวที่แตกตื่นกับเสียงดังบ้า ๆ นั่น
ช่างมันเถอะ ยังไงก็ต้องรีบกลับบ้าน
ผมก้าวขาหนักอึ้งให้พ้นประตูรั้วสีสนิม รู้สึกเหมือนขาซ้ายหนักเป็นตัน อาการคลื่นไส้หายไปแล้ว แต่ผมปวดหัวมากกว่าเดิม เหมือนมีปลิงตัวใหญ่ดูดเลือดในสมอง มันดูดกินเลือดอยู่อย่างนั้นจนกะโหลกกำลังจะแตก ผมแทบบ้า ลึก ๆ ภาวนาให้หัวผมระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เสียที ผมอาจจะไม่ต้องทนทรมานแบบนี้
ผมแค่ต้องกลับบ้านไปนอนแล้วทุกอย่างก็จะจบ ครั้งนี้อาจจะตื่นขึ้นมาในอีกราวห้าถึงหกวันข้างหน้า แล้วผมก็จะออกไปจากชุมชนโสมมแบบนี้ ไปเริ่มต้นใหม่ ไปเริ่มชีวิตใหม่ของผมที่กรุงเทพฯ
นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
ผมก้าวขาหนืด ๆ พ้นประตู้รั้วจนได้ การเคลื่อนไหวร่างกายไม่ปกติ ขยับแขนขาไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง อาจจะใช้เวลานานเป็นวันกว่าจะเดินถึงบ้าน คิดได้อย่างนั้นก็สบถอย่างหัวเสีย
ผมเดินเลียบฟุตบาทมาเรื่อย ๆ นิ้วเท้าสะดุดก้อนกรวดบนพื้นสองถึงสามครั้งเห็นจะได้ ขาของผมเริ่มไม่มีแรง ความเมื่อยล้ากัดกินไปทั้งร่างกาย
หูได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน ถ้าวันนี้เป็นวันอื่น ๆ ผมคงเดินหน้าต่อ ไม่สนใจอะไรเหมือนที่เคยทำอย่างเก่า แต่เพราะมันเป็นวันนี้ วันสุดท้ายที่นี่แล้ว ผมเลยต้องสะสางเสียหน่อย โทษฐานที่ทำให้ผมรำคาญติดต่อกันหลายปี
ผมหันไปมอง อ่า...สองผัวเมียคู่นี้ทะเลาะกันประจำ คงไม่เป็นที่น่าตกใจนักถ้าหากวันใดวันหนึ่งมีข่าวหญิงหม้ายโดนทำร้ายร่างกายจนตายแล้วมีชื่อจอยเด่นหราอยู่บนทีวี
ปั้นจั่นทึ้งผมจอยแรง ๆ จนผมเธอหลุดติดมือไปสองสามกำเห็นจะได้ ใบหน้าของเธอโชกไปด้วยเลือด สีแดงสดตัดกับสีผิวขาว ๆ บางทีเธออาจจะไม่ใช่จอย ผมเห็นหน้าเธอไม่ค่อยชัด อาจจะเป็นเพราะว่ารอบนี้ปั้นจั่นทำร้ายเธอรุนแรงกว่าปกติไปมาก จอยถึงได้ร้องเหมือนหมูกำลังโดนเชือด เสียงแหลม ๆ ของเธอกรีดร้องลั่นสลับกับเสียงร้องไห้สะอึ้น ผมทนไม่ไหวแล้ว ใครก็ได้ทำให้หล่อนหุบปากเสียที ก่อนที่คิดจะทำอะไรก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นอีกครั้ง
‘ปัง!!!!!’
แปลก...จอยหยุดร้องทันที เธอหันมามองผมด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด ปั้นจั่นวิ่งหนีไปแล้ว
ไม่มีเสียงน่ารำคาญอีกต่อไป ผมเดินต่อ อีกไม่นานก็จะถึงบ้าน
คิ้วเข้มขมวดด้วยความแปลกใจ ตรงนี้ต้องเป็นทางโค้งนี่ ผมอาจจะเห็นภาพหลอนจากที่เสพยาไปเกินขนาด พลันร่างกายกลับมาคลื้นไส้อีกครั้ง ท้องปั่นป่วนเหมือนมีคนจงใจบิดกระเพาะ ครานี้ผมลงไปนอนกับพื้น แขนขากลับมาไม่มีแรง บางทีผมอาจจะนอนตายตรงนี้ทั้ง ๆ ที่อีกไม่กี่ก้าวจะถึงบ้านแล้ว การหายใจยากลำบากขึ้นหลายเท่า เหมือนปอดของผมขนาดเล็กลง หรือจริง ๆ ผมอาจจะเหลือปอดเพียงข้างเดียวแล้วก็ได้ เสื้อยืดราคาถูกเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแต่อากาศหนาวจับกระดูก มือทั้งสองข้างของผมสั่น เล็บมือกลายเป็นสีม่วง
ผมกำลังจะตาย
ผมกำลังจะตายทั้ง ๆ ที่กำลังจะเริ่มชีวิตใหม่หรอ
ผมไม่มีศาสนาประจำใจ แต่ก่อนจะตายก็อยากจะทักท้วงกับพระเจ้าสักครั้ง
ไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ทั้งหมดนี่ที่เป็นอยู่เพราะสังคมทุเรศ ๆ แบบนี้ไม่ใช่หรือไง
ต่อให้ผมไม่เสพยาแต่ชีวิตก็ห่วยแตกอยู่ดี
ที่นี่น่ะ ใคร ๆ ก็อยากออกไปทั้งนั้นแหละ
รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายคลานกลับไปที่บ้าน อาการคลื่นไส้กลับมาอีกครั้ง คราวนี้มันเหมือนกับคลื่นลูกใหญ่ซัดอยู่ในช่องท้อง จนในที่สุดผมก็อาเจียนมันออกมาจนได้หลังจากนอนบิดทรมานนับชั่วโมง กลิ่นของมันเหมือนน้ำเน่า ๆ ในคลอง สีก็ไม่น่าดูสักเท่าไร อาจจะมีหนอนสักสองสามตัวอยู่ในกองอาเจียน ร่างกายผมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ขย้อนมันออกมาจนหมด แต่กลิ่นของมันยังคละคลุ้งอยู่ในปากไม่ไปไหน
นี่อาจจะเป็นฝันร้ายของผม
ถึงหน้าประตูแล้ว ประตูบ้านเปิดอยู่ ผมก่นด่าตัวเองในใจ เป็นอีกครั้งที่ผมรีบออกจากบ้านไปเที่ยวกับคิมแล้วลืมปิดบ้านให้เรียบร้อย ป่านนี้ขโมยอาจจะขึ้นบ้านผมไปแล้วก็ได้ เขาคงจะเสียใจนิดหน่อยที่ไม่มีของมีค่าอะไรเลยแล้วกลับออกไปมือเปล่า แต่ยังไงก็ช่าง
เดี๋ยวผมก็จะไปจากที่นี่แล้ว
นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายจริง ๆ ผมสัญญากับตัวเอง จะไม่เอาตัวเองไปทรมานอีกแล้ว ผมเปิดประตูห้อง หวังจะล้มตัวลงนอนกับเตียงนุ่ม ๆ แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง
วันนี้มันแข็งผิดปกติเหมือนกับกระสอบทรายใบใหญ่ ผมนอนหลับตาสักพัก พลันแรงดันจากด้านล่างเหวี่ยงตัวผมลอยขึ้นไปในอากาศ ก้นกระแทกลงที่พื้น มันแรงมาก ๆ จนกระดูกตรงสะโพกปวดไปด้วย ผมร้องด้วยความเจ็บปวดหวังว่าใครสักคนจะมาช่วย
ผมกำลังโดนทำร้าย
ผู้บุกรุกนั่งบนเตียงทอดสายตามานิ่ง ๆ เขานี่เองที่เหวี่ยงผมลงมา ยังไงเสียผมต้องป้องกันตัวก่อน
ผมต้องการมีด ใช่ มีด แต่มันอยู่ในครัวห่างออกไปประมาณสองสามก้าวใหญ่
แต่ไม่ทันจะได้ขยับตัว เขาคนนั้นก็เดินตรงมาที่ผมแล้วพึมพำอะไรสักอย่าง ไม่ทันจะได้จับใจความ
ผู้บุกรุกก็ตรงมาบีบคอผมแน่น เล็บสีม่วงจิกที่มือหนาจนเกิดรอย
หายใจไม่ออก
ผมอาจจะตายตรงนี้ได้เลย ในห้องเช่ารูหนูที่ไม่อาจจะเรียกได้เต็มปากว่าบ้าน
นี่อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้ใช้ชีวิตจริง ๆ ก็ได้
ค้นพบว่าละครหลังข่าวอาจจะทำมาจากเรื่องจริง
ก่อนจะหมดลมหายใจ ผมระลึกถึงความผิดพลาดทั้งหมดในชีวิต ภาพสีตัดมาเป็นฉาก ๆ เหมือนในละคร คิดแล้วก็นึกเสียดายที่ยังไม่ได้ทำอะไรหลายอย่าง
ยังไม่ได้เรียนต่อ ยังไม่ได้ย้ายไปกรุงเทพฯ ยังไม่ได้พยายามเลิกเหล้าอย่างจริง ๆ จัง ๆ ผมเสียเวลาทั้งชีวิตไปกับการสำมะเลเทเมาไปวัน ๆ
น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งข้าง พร้อมจะหลับตายอมรับความจริงที่โหดร้าย หางตาผมเหลือบไปเห็นปืนปริศนาในมือ ไม่ทันได้ไตร่ตรองที่มาที่ไป ผมยิงผู้บุกรุกไม่ยั้งมือแล้วเขาก็ล้มคอพับลง
มันเป็นไปไม่ได้แน่ ๆ ทุกอย่างมันเร็วเกินไป
ปืนมาอยู่ในมือผมได้ยังไง
มองไปที่มืออีกครั้งแต่ตอนนี้ปืนไม่อยู่ในมือผมแล้ว บางทีเรื่องบ้า ๆ ทั้งหมดนี่อาจจะเป็นภาพหลอนที่ผมจินตนาการขึ้นมาเอง ผมเริ่มไม่แน่ชัดแล้วว่าเรื่องนี้มันจริงหรือไม่ ผมอาจจะกำลังฝันอยู่
ผ่านมาราวหนึ่งอาทิตย์หรืออาจจะนานกว่านั้น ผมลืมเปลือกตาหนัก ๆ ขึ้นมาเห็นเพดานสีขาวสะอาดตา หัวหนักอึ้งเหมือนมีหินก้อนใหญ่ทับไว้ เบ้าตาร้อนผ่าว ลำคอแห้งผากเหมือนกลืนทรายหยาบ ๆ ลงไป
ไม่คลื่นไส้อีกแล้ว ร่างกายผมขยับได้ดีขึ้น เสียงผู้คนคุยกันรอบตัวผมประมาณห้าหกคนเห็นจะได้
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งบนรถคันใหญ่ ในที่สุดร่างกายผมก็กลับมาขยับได้เป็นปกติเสียที เพียงแต่สมองของผมอาจจะโดนปลิงตัวนั้นกัดกินไปหมดเสียแล้ว ผมเริ่มแยกโลกความจริงกับสิ่งที่ผมจินตนาการขึ้นมาไม่ออก ความทรงจำทั้งหมดเลือนราง
ปวดหัวบ้างบางครั้งที่พยายามจะใช้ความคิด ราวกับว่าปลิงตัวนั้นกำลังบอกเป็นนัย ๆ ว่ามันยังอยู่ในหัวของผม ยังคอยกัดกินสมองผม ไม่ไปไหน
คนแปลกหน้าสองสามคนลากตัวผมเข้าไปในห้องมืด ๆ
ผมนั่งคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด บางทีทั้งหมดนี่อาจจะเป็นแค่ฝันร้าย แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ผิดสัญญาตัวเอง นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมใช้มันจริง ๆ
ผมอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข
และใครสักคนบอกกับผมว่า ผมฆ่าคนสี่คนหลังจากใช้ยาในวันนั้น
โดยนางสาว ฐิติวรญา วรเดชษา , จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย