เรื่องสั้น "หน้ากาก"


หน้ากาก

 

    ยายแก่เจ้าของร้านชำเดินออกมาตรวจสอบจำนวนของที่เธอขายขณะที่ ไม้โท กำลังยืนเลือกซื้อของในร้าน เธอร้องสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด “อีกแล้วเหรอ” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ของในร้านของเธอหายไป มันเป็นแบบนี้มาสามวันแล้ว ซึ่งยายแก่เจ้าของร้านชำก็ยังหาตัวหัวขโมยไม่พบ

      “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ลูกค้าขาประจำอย่างไม้โทเอ่ยถาม

      “วันนี้น่ะสิ ของในร้านหายอีกแล้ว”

      “อีกแล้วเหรอครับ”

      ยายแก่เจ้าของร้านชำพยักหน้า ไม้โทมองเธอเดินกระแทกเท้าเข้ากับพื้นไม้จนเกิดเสียงดังเข้าไปข้างในอย่างไม่สบอารมณ์ เขาใช้โอกาสนี้นำสิ่งของที่หยิบมาก่อนหน้านี้เข้าใส่ในกระเป๋าให้เรียบร้อยกว่าเดิม หัวขโมยประจำร้านของยายแก่เจ้าของร้านชำไม่ใช่ใครที่ไหนเลย เขาคนนั้นก็คือไม้โทเอง

      ไม้โทไม่รู้สึกร้อนรนหรือหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยที่ทำไป เพราะยายแก่เจ้าของร้านชำไม่เคยเห็นใบหน้าของไม้โทมาก่อน และไม้โทเองก็ไม่เคยเห็นใบหน้าของยายแก่เจ้าของร้านชำมาก่อนด้วยเช่นกัน ไม่มีใครในเมืองนี้รู้จักใบหน้าหรือได้เห็นใบหน้าของกันและกัน

      ทุกคนล้วนใช้ชีวิตด้วยการใส่หน้ากาก หน้ากากที่พวกเขาสวมใส่ยังเหมือนกันอีกด้วย ไม่มีการเปิดเผยใบหน้า รู้จักแค่ชื่อของกันและกันรวมถึงน้ำเสียง ตอนที่ไม้โทเพิ่งย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองนี้เมื่ออาทิตย์ก่อน เขารู้สึกประหลาดใจกับคนในเมืองนี้อยู่ไม่น้อย แต่ทว่าการใส่หน้ากากทำให้ไม้โทมีความมั่นใจในการทำสิ่งต่าง ๆ ที่เขาไม่เคยทำ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีมากนัก เมื่อลงมือทำไปแล้วก็ไม่มีใครจับได้ ไม้โทสามารถเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนละคนได้ หากเมื่อวานเขาทำในสิ่งที่ไม่ดี วันนี้เขาก็จะทำตัวดี เท่านี้ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าเมื่อวานเขาทำอะไรไป เพราะหน้ากากที่ใส่ อีกอย่างตัวตนไม้โทในสายตาของทุกคนในเมืองนี้รวมไปถึงยายแก่เจ้าของร้านชำต่างมองเขาเป็นชายหนุ่มคนดี ถ่อมตน คอยช่วยเหลือผู้อื่น

      ระหว่างทางกลับจากที่ทำงานไม้โทได้แวะไปที่ร้านของยายแก่เจ้าของร้านชำอย่างที่เคยทำ เขาไม่เห็นวี่แววของยายแก่เจ้าของร้านชำแม้แต่น้อย ร้านเงียบแบบผิดปกติ เขาเดินสำรวจรอบร้านเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ที่ร้านในเวลานี้

      ไม้โทเอื้อมมือไปหยิบของชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นเสียงของหญิงสาววัยกลางคนได้ดังขึ้นทำให้ไม้โทสะดุ้งเฮือกใหญ่ 

      “ของชิ้นนั้นราคาสามสิบบาทค่ะ”

      ไม้โทหันไปหาต้นเสียง เขาเลิกคิ้วประหลาดใจที่บุคคลผู้ซึ่งประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์ไม่ใช่ยายแก่เจ้าของร้านชำอย่างที่เคยเป็น หญิงสาววัยกลางคนเมื่อเห็นไม้โทนิ่งเงียบ เธอจึงกล่าวต่อ “ช่วงนี้คุณแม่ไม่สบายค่ะ ฉันเลยมาดูแลร้านแทนคุณแม่” ไม้โทได้ยินดังนั้นจึงร้องอ๋อพลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขานำของที่หยิบมาเมื่อครู่นี้ไปจ่ายเงินกับหญิงสาววัยกลางคน ความจริงแล้วมันเป็นของที่เขาคิดจะไม่จ่าย แต่ถูกหญิงสาววัยกลางคนมาเห็นเข้าเสียก่อน โชคดีของเขาที่ไม่ได้นำของที่หยิบมานั้นยัดใส่ในกระเป๋าทันที หากเป็นเช่นนั้นหญิงสาววัยกลางคนคงได้เห็นเต็มสองตาว่าเขากำลังขโมยของในร้าน  

      หญิงสาววัยกลางคนยังคงดูแลร้านแทนยายแก่เจ้าของร้านชำ ไม่ว่าไม้โทจะไปที่ร้านนั่นในเวลาใดก็มักจะเจอหญิงสาววัยกลางคนคนเดิมทุกที สิ่งนั้นทำให้ไม้โทรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ เพราะหญิงสาววัยกลางคนเป็นอุปสรรคต่อเขาในการขโมยของ และไม่ใช่มีเพียงแค่นั้น เธอจำเสียงของเขาได้และมักจะคุยเรื่องสุนัขของเธอให้ไม้โทฟังเสมอขณะที่เขาเดินมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์

      “เมื่อวานฉันให้อาหารสุนัขด้วยละค่ะ”  

      “อ๋อ ครับ”

      ไม้โทหัวเราะเบา ๆ ขณะเอื้อมมือไปรับของกลับคืนมา เขาเริ่มเอือมระอากับเรื่องสุนัขของหญิงสาววัยกลางคนคนนี้เต็มที เธอเล่าแต่เรื่องให้อาหารสุนัขซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นไม่มีเปลี่ยน

      “พรุ่งนี้ฉันคงไม่ได้มาแล้วละค่ะ คุณแม่สบายดีขึ้นแล้ว”

      “งั้นเหรอครับ ดีจริง ๆ”

      น้ำเสียงเนือย ๆ ก่อนหน้านี้ของไม้โทได้เปลี่ยนทันที แบบนี้แสดงว่าหญิงสาววัยกลางคนคนนี้ไม่ต้องมาอยู่ดูแลร้านแทนยายแก่เจ้าของร้านชำอีกแล้ว อุปสรรคของไม้โทกำลังจะหายไป เขาจะได้มีโอกาสมากขึ้นกว่าเดิม แต่เมื่อเขาแวะมาที่ร้านอีกครั้งก็ยังพบกับหญิงสาววัยกลางคนประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์ ไม่ใช่ยายแก่เจ้าของร้านชำอย่างที่เขาคิด ไม้โทแปลกใจทำไมหญิงสาววัยกลางคนถึงยังอยู่ที่นี่ เมื่อวานนี้เธอเป็นคนบอกเขาเองว่าวันนี้ยายแก่เจ้าของร้านชำจะกลับมาดูแลร้านต่อ

      “วันนี้คุณแม่ติดธุระนิดหน่อยนะคะ เกิดเหตุฉุกเฉินกะทันหัน” เธอกล่าว ไม้โทร้องอ๋ออย่างเข้าใจ “วันนี้ฉันคิดว่าจะไม่ให้อาหารสุนัขแล้วละค่ะ” หญิงสาววัยกลางคนเริ่มพูดถึงสุนัขของเธออีกครั้ง

      “หกสิบบาทใช่ไหมครับ นี่ครับ” ไม้โทยื่นธนบัตรที่พอดีกับราคาของที่เขาซื้อให้กับหญิงสาววัยกลางคนทันทีเพื่อไม่ให้เธอได้พูดเรื่องสุนัขน่าเบื่อนั่นต่อ

      ไม้โทเดินออกมาจากร้านอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากเสียเวลายืนคุยกับหญิงสาววัยกลางคน แต่ดูเหมือนว่าหลังจากที่ไม้โทเดินออกมาจากร้านขายของชำ เขาสัมผัสได้ว่ามีตาสองคู่ภายใต้หน้ากากจากผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างกำลังจับจ้องมองมาทางเขา ไม่นานได้มีป้าข้างบ้านของเขาเดินผ่านมา

      “สวัสดีครับ” ไม้โทกล่าวทักทายป้าข้างบ้านของเขาอย่างเป็นมิตรแบบที่เคยทำเป็นประจำ แต่ทว่าป้าข้างบ้านกลับไม่ได้พูดทักทายตอบกลับมา เธอมองเขาแบบเดียวกับคนอื่น ๆ ขณะเดินผ่านไปจนกระทั่งหันกลับไปมองทางต่อ ชายหนุ่มเริ่มคิดถึงความแปลกประหลาด เกิดอะไรขึ้นทำไมทุกคนที่เดินผ่านเขาไปล้วนหันมามองเขา

      “จ่ายแค่ของที่ให้เห็น แล้วของที่อยู่ในกระเป๋านั่นละคะ” เสียงของหญิงสาววัยกลางคนดังมาจากข้างหลัง

      “ของอะไรครับ” ไม้โทร้องเสียงหลง 

      “นี่ละค่ะ เหตุผลที่ไม่อยากให้อาหารสุนัข” หญิงสาววัยกลางคนเอ่ย

      “ผมไม่ได้เอาของอะไรจากร้านคุณมา พูดแบบนี้ผมเสียหายนะครับ”

      หญิงสาววัยกลางคนไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม้โทไม่อาจเดาได้ว่าตอนนี้สีหน้าของเธอเป็นเช่นไร “คงยังไม่รู้กฎของเมืองนี้ดีสินะคะ” ไม้โทไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาววัยกลางคนต้องการจะสื่อ “โชคดีนะคะ แล้วก็ไม่คิดว่าคุณจะมีไฝที่ใต้ตาซ้าย” พูดจบหญิงสาววัยกลางคนก็เดินกลับเข้าไปในร้านอย่างเงียบเชียบ 

      ไม้โทไม่รู้ว่าหญิงสาววัยกลางคนคนนั้นรู้ว่าเขามีไฝที่ใต้ตาซ้ายได้อย่างไร ระหว่างทางเขาได้ยินเสียงซุบซิบหรือสายตาจับจ้องมองเขาราวกับว่าเขาเป็นตัวประหลาด หน้ากากก็ใส่เหมือนกันไม่มีอะไรที่แตกต่างแปลกแยกจนต้องถึงขั้นหากได้เดินผ่านก็ต้องเหลียวมามอง ไม้โทยกมือขึ้นมาเพื่อจะขยับหน้ากากแต่สัมผัสที่เขาแตะไปนั้นไม่ใช่ผิวของหน้ากาก มันเป็นผิวใบหน้าของเขาเอง หน้ากากของเขาหายไปโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ไม่นานคำพูดของหญิงสาววัยกลางคนได้แทรกเข้ามาในหัวของไม้โท และทำให้เขาเพิ่งตระหนักถึงกฎของเมืองนี้

      ผู้ใดก็ตามหากสวมใส่หน้ากากแล้ว อย่าได้ลืมตัวว่าสิ่งที่ไม่สมควรกระทำไปนั้นจะไม่มีใครเห็น หากหน้ากากบนใบหน้าได้หายไป ตัวตนหรือชีวิตเดิมของคุณก็จะหายไปด้วยเช่นกัน





โดยนางสาว อริศรา จิตกิตติรัตนา , โรงเรียนนารีรัตน์จังหวัดแพร่


ศึกษาจบแล้ว เปิดเนื้อหาต่อไป