เรื่องสั้น “previous time ”


Previous times ผ้าพันคอสีน้ำเงิน

 


ยังจำกันได้ไหม เด็กผู้หญิงคนนั้น

.

.

.

คุณยายนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โยกตัวเก่านั่งมองดูเพลินตา หลานสาวตัวน้อยแสนน่ารักของคุณยายกำลังเล่นกับผีเสื้ออย่างสนุกสนาน ผีเสื้อก็คงมีความสุขเหมือนกัน

ยายคนนี้ก็ตกกระป๋องไปเสียแล้ว เมื่อสักครู่ยังนั่งคุยเล่นอยู่ด้วยกันอยู่เลยก่อนที่หลานสาวจะกล่าวขอตัวไปเล่นกับคุณผีเสื้อก่อนดีกว่า คุณผีเสื้อกำลังเศร้าอยู่ เธอพูดเช่นนั้นก่อนจะวิ่งลงบันไดไป

 

หลานสาวแต่งด้วยชุดเดรสสีน้ำเงิน เธอช่างสวยเหมือนคุณยายตอนสาวๆไม่มีผิด และก็คงเหมือนกับแม่ของเธอด้วย สวยจริงๆโตขึ้นไปคงมีทั้งคนหนุ่ม คนสาวตามติดกันตรึมเป็นแน่ เฮ้อ ชุดเดรสสีน้ำเงินงั้นเหรอ..

 

ได้เวลาแล้วหลานคงเหนื่อยแย่แล้ววิ่งเล่นมานานนับชั่วโมง คุณยายร้องเรียกเสียงใจดีเด็กหลายๆคนคงต้องชอบเสียงแบบนี้แน่ๆ คุณยายได้เตรียมน้ำไว้ให้แล้ว หลานสาวค่อยๆดื่นน้ำจากแก้วลายผีเสื้อ เด็กคนนี้ชอบผีเสื้อมากๆเลยล่ะ แม้แต่ห้องของเธอก็ตกแต่งด้วยผีเสื้อตัวเล็กตัวน้อยเต็มห้องนอนไปหมด จนใกล้ลามมาถึงห้องนั่งเล่นซะแล้ว แต่ขอแค่หลานสาวมีความสุขกับมันก็พอ จะตกแต่งทั้งเมืองเลยเหรอ ได้เลย!ยายคนนี้ของหลานก็จะซื้อทั้งเมืองและสติกเกอร์ผีเสื้อเพื่อหลานให้จนได้ หรือจะสร้างเป็นเมืองของผีเสื้อเลยดีล่ะ แต่คงได้แค่คิดไอ้เราจะมีแรงไปทำอะไรอีก นอกจากเลี้ยงเทวดาตัวน้อยคนนี้ เพียงคนๆนี้

 

‘คุณยายคะ คุณยายไม่มีเรื่องเล่าให้ฟังแล้วเหรอ เรื่องของคุณยายน่ะ สนุกที่สุดแล้ว’ หลานกล่าวพร้อมสายตาคาดหวังมาทางผู้เป็นยาย

 ‘เจ้าเด็กน้อยยายคนนี้ มีเรื่องเล่าให้หลานได้ฟังอีกเป็นร้อยๆเรื่องอย่างฟังเรื่องแบบไหนล่ะ’ ยายตอบกลับไป เด็กน้อยทำมือยกนิ้วชี้แตะที่คิ้วของตน

 ‘เรื่องนั้นๆๆๆ เรื่องของเด็กผู้หญิงที่มีผ้าพันคอ’ยายชะงักไปครู่เดียว แต่ก็ต้องรีบเรียกตัวเองกลับมา

‘แน่ใจหรึอว่าจะฟังเรื่องนั้นจริงๆ’ถามกลับเพื่อความแน่ใจ หลานพยักหน้าตอบกลับแล้วยิ้มให้คนเป็นยาย

‘เอาล่ะๆ มาสิมานั่งตักยาย เรื่องนี้มันย้อนไปเมื่อยายยังสาวๆอยู่เลย…’

.

.

.

The past

วันที่ 23 มีนาคม ปีคริสตศักราช 1977 เด็กทารกคนหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นในโรงพยาบาลขนาดกลาง เธอยังคงเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป มีเพื่อนที่เล่นด้วยกันไปไหนด้วยกัน ชอบใส่ชุดสวยๆ ชอบการอ่านหนังสือ ชอบการที่จะเดินเล่นไปในเมือง พ่อและแม่มีความรักใคร่ให้แก่ลูกของพวกเขา เด็กคนนั้นคงเป็นคนที่โชคดีสุดๆคนหนึ่งเลย ถ้าไม่ใช่เพราะพรจากฟ้าที่คนรอบข้างพูดถึงกัน หรือคำสาปจากนรกที่พ่อและแม่ของเด็กเป็นคนพูด

 

ข่าวหนังสือพิมพ์ประโคมข่าว เด็กที่สามารถมองเห็นตัวเลขแห่งความสุขและความเศร้าได้ ถ้าตัวเลขนั้นเริ่มลดน้อยลงหมายถึงว่าคนๆนั้นกำลังเศร้าอยู่ แต่ถ้าตัวเลขนั้นเพิ่มสูงขึ้นก็แปลว่าคนนั้นมีความสุขจนเอ่อล้น เด็กคนนั้นเห็นตัวเลขได้ของทุกๆคน ร่วมถึงตัวเธอเองก็ด้วย

 

เมื่อโตขึ้นจากเด็กยิ้มแย้มชอบถ่ายรูปที่มักจะชูสองนิ้วเข้าหากล้องเสมอ กลับกลายเป็นเด็กที่เหมือนเก็บกดไม่สุงสิงกับใคร หากอยากเห็นเธอยิ้มละก็คงเป็นในรูปที่ถ่ายในอดีต ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว

เธอคนนั้นชอบเดินเตร่ไปทั่วเมือง คนในเมืองเรียกเธอว่า ‘เด็กสาวผ้าพันคอสีน้ำเงิน’  สีที่เธอชอบคงเป็นสีน้ำเงิน สีแห่งความเชื่อมั่น เธอใส่มันอยู่ทุกวันในเมืองที่หนาวเหน็บนี้ ไม่มีใครเคยเห็นพ่อแม่ของเด็กคนนี้อีกเลย หลังจากไม่นานที่รู้ว่าลูกของตนเห็นตัวเลข พรจากฟ้านี้ คงเป็นเรื่องในครอบครัวที่เราไม่เข้าใจ

 

เธอจะเดินบอกกล่าวคนที่มีตัวเลขสูงๆ มีความสุขมากๆยิ้มแย้มตลอดเวลาว่า มีความสุขมากไปแล้ว มากเกินไป ไม่กลัวเลยหรือไง อยากเจอเรื่องไม่ดีเหรอ คนรอบข้างคงคิดว่าเธออิจฉาตนเองที่มีความสุขยิ่งกว่า เหมือนกับเธอเองในอดีต แต่ใครจะรู้ความจริงในใจของเด็กคนนั้นกัน

 

ฉันได้แต่มองท่าทีของเด็กสาวจนไม่สนใจคนข้างหน้าเลย ท่านผู้พันผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าสามีแห่งเมืองนี้ แต่เสียใจด้วยเขาคนนี้คือสามีของฉันเท่านั้นในตอนนี้ เขาเป็นคนดีมีความสามารถ หน้าตาดี สะอาดสะอ้าน ใครๆก็คงตกหลุมรักได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้สนใจเขา เขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากฉัน เขายังคงนั่งหน้าดูดีของเขาไปเรื่อยๆ เรานั่งกันอยู่หน้าร้านน้ำชาราคาหรู รสชาตินุ่มนวล เราเลือกออกมานั่งข้างหน้าร้านแทนที่จะเป็นข้างในของร้าน เพราะฉันเกรงว่าคนอื่นคงจะให้ความสนใจพวกเราอย่างใกล้ชิดเกินไป ร้านดังทุกร้านจะเล็กเป็นธรรมดา ฉันไม่เข้าใจสิ่งนี้เลยจริงๆ ฉันหันหน้ากลับมาสนใจเขาได้ไม่นาน

เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น

.

เด็กคนนั้นโดนรถชนซะแล้ว

 

 

ยังจำได้ เด็กผู้หญิงผ้าพันคอสีน้ำเงิน

.

.

.

อ่า เจ็บจนลืมตายังไม่ไหว ให้ตายสิ สมองฉันเหมือนกับจะไหลออกมาเลย พระเจ้าเล่นฉันแล้ว…หรือไม่ใช่นะ หรือจะเป็นคนในนรกข้างล่างนั้นกัน เบื่อหรือไงถึงมาทำกับฉันแบบนี้ได้น่ะ

 

ฉันยังจำก่อนหน้านี้ได้ ฉันใส่ผ้าพัดคอสีน้ำเงินออกมาจากบ้านที่เป็นแค่ที่อยู่อาศัยของฉัน ก็แค่ที่นอนเท่านั้น ความอบอุ่นจากที่แห่งนี้ยังให้ฉันไม่ได้แม้แต่องศาเดียว แค่เดินมาอยู่หน้าประตูบ้านก็เห็นตัวเลขเต็มเบ้าตา มีความสุขกันจริงๆ จะมีอะไรมากมายความสุขมันฟรีหรือไง ได้แต่พูดคุย เถียงกับตัวเองไปงั้นแหละและได้ข้อสรุปว่า แล้วความสุขมันต้องจ่ายเงินรึไง

 

เอ๊ะ คนมาอยู่ใหม่เหรอ ผู้หญิงดูอายุน้อยที่ออกมาจากบ้านข้างๆนี่เอง เรียกได้ว่านี่มันสาวสวยเลยต่างหาก

.

.

อะไรกัน ตัวเลขหกหลักนี้…มันเยอะที่สุดเท่าที่เคยได้พบเจอ บ้าไปแล้ว บ้าเกินไปแล้ว พอออกบ้านมาก็ยิ้มให้คนไปทั่ว เฮ้อ จริงๆเลย เดี๋ยวก็เจอเรื่องไม่ดีขึ้นหรอก ฉันได้ตัดสินใจเดินตามเธอคนนั้นไป อยากรู้จริงๆจะยิ้มไปได้อีกนานเท่าไหร่กัน

 

สาวสวยเดินเข้าไปร้านหนังสือเก่าๆที่หนึ่ง ร้านหนังสือที่เมื่อก่อนฉันชอบเข้าบ่อยๆ เข้าบ่อยจนพนักงานจำได้ เขาแทบจะให้ฉันเฝ้าร้านแทนแล้ว มาอยู่นานซะเหลือเกิน อุ้ย ลืมเลยเราตามเขาอยู่หนิ ตามต่อๆ

ฉันว่าฉันย่องเบาแล้วนะ ทำไมถึง..

‘สวัสดีค่ะ คนข้างบ้าน’ ให้ตายสิ ฉันเลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจ ทำท่าเดินเลือกหนังสือต่อ ถึงแม้มันจะไม่เนียนไปกับสิ่งที่ฉันทำไปแล้วก็เถอะ สาวสวยยืนกอดอกมองตามฉันเรื่อยๆ ขอร้องหยุดมองที ไปดูหนังสือของคุณต่อเถอะนะ ฉันหยุดอยู่ที่หนังสือเล่มหนึ่ง คนชอบหนังสือก็คือคนชอบหนังสือวันยันค่ำ เริ่มแรกปียันท้ายปี ก็ชอบอยู่แบบนั้น หนังสือมันน่าหลงใหลจริงๆ ฉันเอื้อมมือไปหยิบมันมา หน้าปกคือสิ่งดึงดูดคน ภายในคือสิ่งที่ต้องค้นหา ไล่ปลายนิ้วมือตามตัวอักษรที่ปรากฏ อ่านตามไปเรื่อยๆ  น่าสนใจ

เธอหยิบมันออกจากมือฉันไปแล้ว…

‘อะไรของคุณคะ’ ฉันถามออกไป จริงๆฉันควรถามตัวเองก่อนเลย

‘ฉันควรถามคุณมากกว่านะคะ’ อ่อค่ะ ฉันก็คิดเหมือนคุณ แล้วเธอก็ถามฉันอีกครั้ง

‘มีอะไร…’

‘ทำไมคุณมีความสุขจัง’ ฉันพูดโพล่งออกไป เธอทำหน้าสงสัย

‘ฉันดูมีความสุขเหรอคะ’ ก็ใช่น่ะสิ ตัวเลขหกหลักขนาดนี้ คิดอยู่ภายในใจ แต่ก็ตอบไปได้แค่ ค่ะ เท่านั้น

เธอยิ้มอีกแล้ว

‘แล้วคุณเศร้าทำไมกันคะ’ ฮะ อะไรนะ เธอรู้ได้ยังไง เธอก้มลงมองหนังสือในมือที่พึ่งขโมยไปจากมือฉันต่อหน้าต่อตา อย่าหยิบไปจ่ายเงินเชียว มันมีแค่เล่มเดียวนะนั้น

‘ก็ถ้ามีความสุขมาก ก็จะเจอเรื่องไม่ดี’ ฉันตอบเธอไป ทำไมฉันต้องตอบไปด้วย ไม่เข้าใจตัวเอง

‘ยังไงกันล่ะคะ’ ก็…ฉันคิดในใจ เรื่องในวันนั้น

 

วันนั้นที่บ้านฉัน ครอบครัวฉัน เรามีความสุขกันมาก มากเกินไป ฉันนึกสนุกอยากเล่น อยากเล่นสุดๆ ดอกไม้ไฟที่พ่อได้มาจากเพื่อนร่วมงาน พ่อทำงานอะไรสักอย่างที่ทำแค่รับโทรศัพท์ แล้วก็จดบันทึกอะไรลงไป และแม่ที่เป็นแม่บ้านอยู่บ้าน ไม่ค่อยออกไปไหน แม่บอกแม่ไม่เหงาหรอก แม่มีฉันอยู่ด้วยทั้งคน

 

ฉันบอกกับพ่อว่าฉันอยากเล่นดอกไม้ไฟ แม่ลังเลเล็กน้อย แต่พ่อตอบอย่างทันควัน ได้เลย ไปเล่นกัน ฉันดีใจที่สุด นี่มันวันอะไรกัน มีความสุขสุดๆไปเลย พ่อเดินจับมือฉันเดินออกมาข้างนอกสวนหลังบ้าน อีกข้างถือดอกไม้ไฟ ฉันจ้องมันตาไม่กะพริบเลย พ่อประคองมือฉันอยู่ข้างหลังพร้อมที่จะจุดดอกไม้ไฟ แม่ที่ดูอย่างห่างๆ พ่อเริ่มจุดแล้วปักมันลงที่พื้น จับไหล่ให้ฉันเดินถอยออกมา ฉันจ้องมัน มันส่องสว่างเข้ามาในดวงตาฉัน ถึงแม้ฉันจะไม่ได้ดูตัวเลขบนหน้าอกตัวเองก็รู้ได้เลยว่ามันคงทะยานเกินพันล้านเข้าไปแล้ว ฉันอยากเข้าใกล้มันอีก เดินเข้าใกล้เรื่อยๆ พ่อแม่ที่ยืนดูดอกไม้ไฟ แสงที่เข้าตาทำให้ไม่ได้สังเกตฉันที่เข้าใกล้มันจนเกินไป ใกล้จะถึงแล้วอีกนิดเดียว

 

ตัวของฉันกระแทกลงกับพื้น พ่อเหวี่ยงตัวฉันออกมา แต่ทำให้ตัวของพ่อถลำเข้าไปโดนดอกไม้ไฟที่กำลังปะทุเตรียมขึ้นท้องฟ้า และมันก็พาพ่อขึ้นฟ้าไปด้วย

 

แม่ฉันทนคิดถึงพ่อไม่ไหว ฉันไม่เข้าใจแม่ร้องไห้ทำไม เหงาเหรอ ทำไมกันล่ะ มีฉันอยู่ด้วยนี่ไง แม่คะลูกอยู่นี่ไง ในกลางดึกคืนนึงแม่เข้ามาในห้องนอนฉัน พยายามบีบคอฉันให้ตาย จนฉันสลบเพราะขาดอากาศหายใจ และแม่ก็ฆ่าตัวตายตามพ่อไป ทิ้งฉันไปแล้ว โดยไม่รู้ว่าฉันยังอยู่ที่นี้ บนโลกใบนี้

 

ความสุขอะไรนั้นฉันไม่ต้องการแล้ว ถ้ามีความสุขมากก็จะเศร้ามาก ฉันยังเด็กถึงคิดแบบนั้นไป แต่ฉันไม่รู้ว่ามันเพราะเป็นฉันเอง ฉันคนเดียวเท่านั้นที่หลงไหลไปกับดอกไม้ไฟโดยที่ไม่รู้ว่ามันทำร้ายร่างกายพ่อทำให้ทรมานมากแค่ไหน

 

ฉันหลงรักสิ่งที่ฆ่าพ่อตัวเอง

ตัวฉันทะยานขึ้นฟ้าเหมือนในวันนั้น เหมือนร่างของพ่อที่ดอกไม้ไฟพาพ่อขึ้นไป น้ำตาซึม กะโหลกแหลกจนกลายเป็นธุลี กระดูกแขนขาผิดรูปผิดร่าง รถทั้งคันแทบบุบสลาย ผ้าพันคอที่พ่อซื้อให้เปลี่ยนเป็นสีแดง ฉันมัวแต่คิดถึงเรื่องในวันนั้น แม่คะ แม่ไม่ใช่คนบาปที่ฆ่าลูกตัวเองเลยโปรดอย่าโทษตัวเอง ลูกจะตามแม่กับพ่อไปแล้วนะ

.

.

.

คุณยายเล่าว่ามันเป็นเรื่องที่บอกต่อกันมา คนที่รู้เรื่องที่ลึกกว่านั้นคงเป็นคนที่คุยด้วยกันในร้านหนังสือ แต่ก็ไม่มีใครเห็นเธอมานานแล้ว สิ่งที่เห็นกับตาก็มีแค่ภาพร่างที่โดนรถชน ยายคิดถึงเรื่องในตอนนั้นก็รู้สึกเศร้าลง เด็กผู้น่าสงสาร

‘103 100 98…’ หลานของเธอกำลังนับเลข

‘เก่งจริงๆเลยหลานยาย นับเลขเป็นแล้ว’

‘120 125 128 คุณยาย เลขของคุณยายเมื่อสักครู่ยังลดลงอยู่เลย ตอนนี้สูงขึ้นมาแล้ว’ หลานพูดจบ มองหน้าผู้เป็นยาย แล้วยิ้มให้

 

—       จบ





โดยนางสาว กมลพรรณ ศิริเวช , โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ บางรัก


ศึกษาจบแล้ว เปิดเนื้อหาต่อไป