เรื่องสั้น “กระจกของแม่มด”


กระจกของแม่มด

 

“คุณแม่คะ…” เสียงเรียกที่ดังมาจากข้างหลังทำให้เธอละสายตาออกจากกระจกหันกลับไปมองด้วยความรักใคร่ เบลล์ กระดิ่งน้อยที่อยู่กับเธอมานานถึง 7 ปี แต่กระนั้นก็ยังติดเธอเป็นตังเมเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

“ว่าไงคะ” หญิงสาวตอบรับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“คือว่าหนูอยากฟังเรื่อง กระจกของแม่มดน้อย ค่ะ คุณแม่สะดวกเล่าหรือเปล่าคะ” เนื่องจากกลัวว่าจะเป็นการรบกวน เด็กน้อยจึงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่ติดจะเกรงๆ      

“ได้สิคะ”ผู้เป็นแม่ตอบกลับพลางจูงลูกขึ้นที่นอนก่อนที่เด็กน้อยจะทิ้งตัวลงบนตักมองตาเธอแป๋ว หญิงสาวนำมือขึ้นมาลูบหัวคนบนตักอย่างเบามือ จากนั้นจึงเริ่มเล่าไปพร้อมกับน้ำเสียงที่ขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะคล้ายทำนองดนตรี

 

………………..

 

ณ ดินแดนแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลแสนไกลเป็นดินแดนที่มีเหล่ามนุษย์ พ่อมดแม่มด ภูต สิ่งมีชีวิตต่างๆ อีกมากมายแม้กระทั่งปีศาจเองก็อาศัยอยู่ที่นั่น ทว่ามนุษย์นั้นไม่สามารถรับรู้หรือติดต่อกับชาติพันธุ์อื่นได้ เว้นเสียจากถือกำเนิดมาในตระกูลของผู้วิเศษ หรือซึ่งก็คือ พ่อมดแม่มดนั่นเอง ทำให้น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขา พ่อมดแม่มดในที่แห่งนี้แม้จะกระจายกันไปตั้งถิ่นฐานเพื่อประกอบอาชีพ แต่ก็ยังรู้จักกันทุกคนเนื่องจากทุกเดือนตุลาคมคืนวันปล่อยผีของแต่ละปีจะมีการกลับมารวมตัวกันของเหล่าพ่อมดแม่มดที่ป่าสนยักษ์ซีคัวยา เพื่อมารายงานตัวลงในหนังสือของหัวหน้าสมาคม ถือเป็นการตรวจสอบพูดคุยสังสรรค์ดื่มกินกับเหล่าสมาชิกทุกคนที่มา สิ่งมีชีวิตทุกชนิดดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นเคย

จนกระทั่งกลางดึกคืนหนึ่ง สาวน้อยคนหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นในตระกูล เมแกน ที่รู้จักกันในนามหัวหน้าสมาคมพ่อมด ได้ออกมาลืมตาดูโลก เสียงเด็กร้องจ้าสนั่นหวั่นไหวแข่งกับลมพายุฝนที่อยู่ด้านนอก จวบจนกระทั่งอาทิตย์ทอแสงทุกอย่างถึงได้กลับมาอยู่ในความสงบ เหล่าพ่อมดแม่มดทั้งหลายเมื่อทราบข่าวก็ต่างอวยพรยินดีให้กับบุตรคนแรกของหัวหน้าที่นามว่า ‘ไอวี่’  

แม่มดน้อยไอวี่เติบโตมาอย่างงดงามขณะนี้เธอมีอายุได้ 10 ปีบริบูรณ์ถึงเกณฑ์ตรวจชะตาเป็นวันที่เจ้าตัวรอคอยมาตลอดซึ่งก็คือวันที่พ่อมดนักพยากรณ์อาวุโสจะนำดวงชะตาของเด็กๆ มามอบให้เจ้าตัว ณ วิหารกลาง วันนี้ผมหนาถูกรวบตึงเป็นหางม้าทำให้ช่วงคอดูเรียวสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนกระดิ่งทับด้วยกางเกงสีดำและรองเท้าหนังสีดำที่ช่วยเพิ่มความสูงให้ราวๆ สองเซนติเมตร การแต่งกายวันนี้แม้จะเหมือนกำลังเตรียมตัวไปเรียนที่วิหารเฉกเช่นทุกวัน แต่หากมองที่ไปหน้าจิ้มลิ้มประดับด้วยรอยยิ้มตลอดเวลาคงทราบว่าเป็นมากกว่าวันธรรมดาอยู่แล้ว

วิหารกลางอยู่ใจกลางป่าสนซีคัวยา มีลานตรงกลางสำหรับประกอบพิธีกรรมอาคารต่างๆ ทั้งอาคารเรียน หอสมุดหันเข้าหาลานพิธี ปกติยามมีพิธีกรรมหัวหน้าสมาคมหรือผู้มีศักดิ์เป็นบิดาของเธอจะร่ายเวทปกคลุมสถาปัตยกรรมสีขาวทั้งหมดนี้ไว้ก่อน จากนั้นจึงเป็นทีของเหล่าพ่อมดแม่มดผู้เป็นคณะกรรมการกลางจะเริ่มประกอบพิธี

 เมื่อเหล่าเด็กน้อยนั่งเรียงแถวตามลำดับวันเวลาเกิดกลางลานพิธี เวทสีทองแผ่ขยายเป็นวงกว้างจากแท่นประธานในพิธีไปจนถึงต้นสนยักษ์ต้นสุดท้ายของแต่ละทิศ คณะกรรมการกลางทั้งสิบสองเริ่มนั่งบนแท่นหินวงกลมประจำตำแหน่งเมื่อครบตามลำดับบทคาถาที่เธอทั้งเคยและไม่เคยเรียนก็ดังขึ้น ผู้ใหญ่ผู้ปกครองทุกคนในที่แห่งนั้นต่างท่องบทสวดนี้อย่างพร้อมเพรียง ไอวี่อดขนลุกไม่ได้ แต่เมื่อเห็นผู้เป็นพ่อมองมาจึงยิ้มตอบกลับไปแล้วสาดส่องสายตาเพื่อเก็บความทรงจำนี้ไว้ให้มากที่สุด ก็พิธีรับคำทำนายครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตเลยนะ! ต่อมาไม่นานเสียงของระฆังดังขึ้นประตูทั้งสี่ทิศเปิดออก ทันใดนั้นชายชราในชุดคลุมและหมวกปีกกว้างทรงแหลมสูงสีน้ำเงินก็เดินถือไม้เท้าออกมาจากประตูฝั่งทิศเหนือพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ขอทุกท่านพึงระลึกเสมอว่าคำทำนายนั้นไม่ใช่เจ้าชีวิต แต่เป็นตัวท่านที่เลือกเส้นทางและชะตาของตัวเอง”

สิ้นสุดเสียงประกาศที่แม้จะแหบแห้งแต่ยังคงหนักแน่นจากผู้อาวุโส เหล่านกฮูกน้อยก็บินนำกระดาษที่ติดอยู่กับขาไปให้เด็กที่อยู่ในเขตรังของตัวเอง นกตัวกลมสีน้ำตาลที่ขณะนี้บินมาอยู่ตรงหน้าของไอวี่ทั้งยังใช้ดวงตากลมโตนั่นจ้องมองเธออย่างสำรวจ และอาจจะเพราะเห็นเด็กหญิงไม่มีปฏิกิริยาเจ้านกจึงทำการก้มลงไปจิกเชือกที่ขา คล้ายบอกว่ารีบๆ เอาเจ้าสิ่งแปลกปลอมออกไปได้แล้ว ไอวี่จึงได้สติกลับมาอีกครั้ง นิ้วเรียวเอื้อมมือไปแก้มัดเชือกแล้วนำกระดาษสีน้ำตาลออกมาแล้วอ่านคำทำนาย

 

“ สิ่งที่เจ้าวาดฝันนั้นจะเป็นจริง แต่ระวังความมืดมิดที่อาจกลืนกินตัวเจ้าด้วย ”

 

“แล้วความมืดมิดที่ว่าคืออะไร ปีศาจหรอ?” เด็กน้อยพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ว่านะ… สิ่งที่เธอวาดฝัน… คือการเป็นแบบท่านพ่ออย่างไรล่ะ! หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเด็กน้อยก็พยายามเต็มที่ในการเรียน ผลการเรียนดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ในทางกลับกันก็แลกกับช่วงเวลาในเด็กของเธอ ไอวี่ไม่ค่อยได้ออกไปเล่นกับเพื่อนๆ อย่างที่เด็กคนอื่นๆ เป็น ผู้เป็นพ่อแม่เองก็สนับสนุนในสิ่งที่เธอทำเต็มที่มีเอ่ยปากเตือนด้วยความเป็นห่วงบ้าง จวบจนเด็กน้อยอายุ 15 ปี เป็นเวลาที่ไอวี่จะต้องไปรับอาวุธประจำตัวที่วิหาร แต่รอบนี้ไม่เหมือนรอบที่แล้ว เธอต้องเข้าไปในหออาวุธเพียงลำพังกับเด็กที่ได้รับคำทำนายรุ่นเดียวกัน

ข้างในหออาวุธเต็มไปด้วยสิ่งของอุปกรณ์ต่างๆ และอาวุธมากมาย เมื่อเข้ามาถึงผู้ดูแลได้ออกมาชี้แจง วิธีการรับอาวุธประจำกายคือแค่เพียงไปยืนบนแท่นหนังสือตรงกลาง วางมือลงบนปกหนังสือเอ่ยนามตัวเองออกมา ไม่ว่าสิ่งใดปรากฏตรงหน้าเจ้าของนามนั้นไม่สามารถปฏิเสธได้ เมื่อเป็นอันเข้าใจตรงกันแล้ว คนแล้ว คนเล่าผ่านไป ผู้คนต่างๆ ได้ตำราเวท ดาบ ไม้กายสิทธิ์ ไม้กวาด มีเพียงเธอที่ได้กระจกเงาเก่าๆ บานใหญ่หนึ่งบาน เมื่อเห็นดังนั้นสีหน้าของไอวี่หม่นหมองลงอย่างชัดเจน

“เราก็นึกว่าบุตรสาวของหัวหน้าจะได้อะไรมากกว่านี้เสียอีก” เสียงซุบซิบนินทาที่คงลอยเข้าหูมาให้ได้ยินตลอดแม้พยายามเลี่ยงก็ตาม เมื่อกลับถึงบ้านกระจกนี้จึงถูกเก็บเอาไว้ในห้องปิดตายใต้หลังคาไปพร้อมกับความรู้สึกที่ซ่อนไว้ข้างในด้วยเช่นกัน เธอใช้ชีวิตท่ามกลางคำซุบซิบนินทา ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนทุ่มเททุกอย่างเพื่อกลบปมด้อยเพียงสิ่งเดียวที่ตัวเองมี และเพื่อเป็นอย่างบิดา เธอจะมีข้อบกพร่องไม่ได้ ในเมื่อพระเจ้าทอดทิ้งเธอ เธอก็จะไขว่คว้าหาทุกอย่างมาให้ตัวเองเอง ดำดิ่งลึกลงไปในห้วงอารมณ์อย่างช้าๆ ดวงตากระจ่างใสและเต็มเปี่ยมใบด้วยพลังชีวิต ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบและมืดมิด โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว…

“ผู้ใดมิอาจตามอารมณ์ความรู้สึกของตน ผู้คนเหล่านั้นล้วนบ่มเพาะปีศาจ” ผู้เป็นแม่หยุดเล่าแล้วกล่าวขึ้นมา

“ทำไมล่ะคะ” เด็กหญิงเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้

“เรื่องอารมณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ตราบใดที่เป็นสิ่งชีวิต อารมณ์ของตัวเราเองก็เป็นเหมือนปีศาจที่ทำให้เกิดการสูญเสียได้เช่นกัน หากเราตามมันไม่ทันนั้นเท่ากับเราเดินตามหลังมันแล้วก้าวหนึ่ง” เธอเอ่ยตอบก่อนที่จะขยายความไปอีกว่า

“เช่นเหตุที่ไอวี่นั้นถูกปีศาจกลืนกิน เริ่มแรกมาจากความคาดหวัง แน่นอนว่าการมีความหวังการมีแบบอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ดีแต่หากมากเกินไปอาจกลายเป็นสิ่งที่ต้องแบกรับได้โดยไม่รู้ตัว และการกลืนกินโดยสมบูรณ์ในตอนท้ายคือจากสภาพแวดล้อมรอบตัว ความผิดหวัง และความกดดันที่เกิดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวจากความหวังการยึดติดในคำทำนาย เธอสูญเสียหลายอย่างแม้กระทั่งตัวตนของเธอเอง”

“แต่ถ้าผมได้กระจกแบบไอวี่ผมก็คงรู้สึกแย่แบบเธอเหมือนกัน” เด็กหญิงแย้งขึ้นมา

“จริงๆ แล้วไอวี่ยังไม่ทันได้ใช้กระจกเลยด้วยซ้ำ แต่ในตอนจบสุดท้ายกระจกบานนั้นก็สะท้อนให้เธอเห็นว่าตัวเธอในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงและละเลยตนเองไปมากเพียงใด แม้ว่าเธอจะอยากกลับไปแก้ไขก็ไม่อาจทำได้แล้ว การที่ได้กระจกสำหรับเรื่องนี้แม่มองว่ามันเป็นอาวุธที่คอยย้ำเตือนปัจจุบันค่ะ หากเธอจดจ่ออยู่กับปัจจุบันและมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองและควบคุมมันได้ไม่แน่ทุกอย่างคงดีกว่านี้… ”

 

 

“อารมณ์ของตัวเราเองเป็นเหมือนปีศาจที่ทำให้เกิดการสูญเสียได้เช่นกัน หากเราตามมันไม่ทันนั้นเท่ากับเราเดินตามหลังมันแล้วก้าวหนึ่ง”




โดยนางสาว อทิตยา เทพบำรุง , โรงเรียนนางรอง


ศึกษาจบแล้ว เปิดเนื้อหาต่อไป