เรื่องสั้น “แดนสวรรค์”


แดนสวรรค์


เสียงหัวเราะดังโหวกเหวกโวยวายมาจากทางด้านใน กลุ่มควันสีขาวลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ   มันต่างมีกลิ่นเฉพาะตัว ผู้คนมากมายกำลังเสพสม รสแห่งความสุนทรีย์ ปล่อยใจตัวเองลอยล่องในภวังค์แห่งความสุข เคลิบเคลิ้มไปกับมันอย่างช้า ๆ ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ ทว่าในความเป็นจริงแล้วมันกลับกัน นั่นคือสวรรค์จอมปลอมที่ถูกเสกขึ้นเพียงชั่วครู่ เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อหมดฤทธิ์แห่งสารเคมีมันก็จะกลายเป็นนรกไปโดยปริยาย นรกที่กำลังกัดกินพวกเขาอย่างช้า ๆ ก้าวแรกของมัจจุราชที่เข้ามีฟาดฟันที่ร่างกาย ภายนอกจากที่ดูปกติก็จะทรุดโทรมผิดหูผิดตา ลามไปยังส่วนลึกของจิตวิญญาณ มันจะค่อยๆครอบงำอย่างช้าๆรู้ตัวอีกทีก็ยากที่จะกู่กลับแล้ว บางครั้งฤทธิ์ของสารเคมีเหล่านั้นก็สามารถเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ในพริบตา

ภาพเบื้องหน้าที่ผมเห็นมันทำให้ผมแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง คนเหล่านี้กำลังเมามายลุ่มหลงอย่างหนัก บางคนร้องโหยหาอยู่ตลอดเวลา แต่เชื่อไหมครับว่าของฟรีไม่มีในโลก อยากได้ก็ต้องมีของแลกเปลี่ยน แต่หากไม่มีเขาก็มีทางเลือกให้คุณนะครับ ทำงานแลกให้เขาไงครับ หากคุณทำงานดีจนเขาพอใจคุณก็อาจจะได้ส่วนสักเศษหนึ่งส่วนสี่ของยา แต่หากคุณทำงานพลาดหรือทำให้เขาไม่พอใจ คุณก็อาจจะได้กลายเป็นบุคคลหายสาบสูญโดยไม่ทราบสาเหตุก็เป็นได้ นั่นมันดูไม่คุ้มค่าที่จะทำเลยใช่ไหมครับ แต่รู้อะไรไหมมันยังมีคนเลือกที่จะทำ เพราะยาเหล่านั้นกำลังเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของพวกเขาสั่งการและควบคุมพวกเขาอยู่ ไม่มีแม้จะการระลึกถึงตนเอง ครอบครัว และคนรอบข้าง  ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ชายหรอกครับ ผู้หญิงเองก็มี ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อฤทธิ์ของมันเมื่อเริ่มทำงาน ก็จะมีความต้องการทางเพศพ่วงท้ายมาด้วย หนุ่มสาววัยรุ่นพวกนี้จึงมั่วสุมเรื่องอย่างว่ากันอย่างไม่ละอายใจสิ่งที่เกิดขึ้นมันฟังดูน่าขนลุก จนอยากจะอ้วกเลยใช่ไหมครับ เชื่อเถอะครับมันมีอยู่จริง กลิ่นควันจาง ๆ เหล่านั้นแม้จะไม่ได้เสพแต่การสูดดมเข้าไปมันก็ทำให้ผมรู้สึกมึนเมาคล้อยตามไปด้วยอย่างง่ายดาย พูดมาขนาดนี้คงจะอยากรู้สินะว่าผมคือใคร

เจ อัครเดช ภูมิสวัสดิ์ ชื่อของผมเองครับ ผมก็แค่นักศึกษาปีหนึ่งธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่บังเอิญมาเจอเรื่องไม่ธรรมดา ผมเป็นคนเงียบ ๆ เรียกว่าโลกส่วนตัวสูง ทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อน แต่โชคดีที่ผมบังเอิญมีเพื่อนจากมัธยมปลายมาเรียนที่คณะเดียวกันทำให้ผมยังพอมีเพื่อนอยู่บ้าง เขาชื่อ “กร” ครับ หลัง ๆ มานี้ผมเริ่มรู้สึกว่ากรมักจะทำตัวแปลกชอบทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ไม่ค่อยไปเที่ยวกับผมเหมือนแต่ก่อน อีกอย่างที่ทำให้ผมสงสัยในตัวเขามาก ๆ เลยคือการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย ผมไม่ได้จะบอกว่าเขาเป็นคนยากจนหรือมีฐานะไม่ดีนะครับ แต่ในฐานะเด็กต่างจังหวัดด้วยกัน แล้วสภาพทางการเงินของพวกเราก็ไม่ได้ดีมากถึงขั้นที่จะมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้อย่างอิสระ อีกอย่างเขาดูซูบผอมลงไปมากเขามักจะมีอาการแปลก ๆ บ่อยครั้ง ตาของเขาดูเหมือนคนนอน         ไม่พอขอบตาดำคล้ำดูรวมๆ สภาพของเขาไม่ต่างจากคนป่วยเลย ผมเริ่มสงสัยในตัวเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเก็บไว้ไม่ไหวเย็นวันนั้นระหว่างทางกลับหอผมจึงถามเขาด้วยความสงสัย

           “ช่วงนี้นายทำงานอะไรเหรอทำไมนายดูมีเงินใช้เรื่อย ๆ เลยอีกอย่างนายไม่ค่อยสบายหรือเปล่าช่วงนี้นายดูซูบผอมไปเยอะนะ” ทันทีที่ผมยิงคำถามไปเขาดูนิ่งไปในทันที

“เราแค่อยากรู้ถ้านายไม่สะดวกก็ไม่ต้องตอบก็ได้” ผมรีบทักท้วงเขาเมื่อเห็นสีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีเหมือนไม่สะดวกที่จะตอบ

“นายไม่ต้องสนใจหรอกเราก็แค่ทำงานพาร์ทไทม์งานมันหนักเลยทำให้ดูผอมไป” เขาตอบผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนจะไม่อยากให้ผมรู้ แต่นั่นมันกลับทำให้ผมยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม มันคืองานอะไรกันแน่ ทำไมงานมันถึงได้หนักขนาดที่ว่าทำให้เขาซูบผอมลงไปได้ขนาดนั้น? ผมตั้งคำถามในใจเงียบๆ

“อาจารย์ครับผมขอไปเข้าห้องน้ำครับ” เสียงกรพูดขึ้น บ่ายวันนี้พวกผมมีเรียนกันจนถึงสี่โมงเย็น      เรามาเรียนกันปกติ ที่น่าแปลกคือเขาขอไปเข้าห้องน้ำระหว่างคาบทั้งที่เราพึ่งจะไปเข้ามาด้วยกันก่อนเข้าเรียนยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหละครับการกระทำไวกว่าความคิด ผมรีบวิ่งตามเขาไปในทันที          ผมมั่นใจว่าเขาต้องไม่ไปเข้าห้องน้ำแน่ ๆ ผมรีบวิ่งตามไปเรื่อยโดยไม่ทันคิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง เขามาหยุดอยู่ที่หลังตึกเกษตรเป็นป่าหญ้ารกทึบ ผมหลบซ่อนตัวหลังเสายืนมองอยู่ทางด้านหลังเงียบ ๆ

เขามีการยื่นอะไรบางอย่างให้คนแปลกหน้า เขาพูดอะไรกันผมฟังไม่ถนัด เพราะผมอยู่ห่างกับเขามาก คู่สนทนาของเขารีบยัดเงินใส่มือเขา และเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือนี่จะเป็นงานที่เขาว่า? ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ข้างในไม่กล้าฟันธง เพราะผมมั่นใจว่าเขาต้องไม่กล้าทำแน่ ๆ ผมรีบวิ่งกลับตึกเรียนทันทีที่ชายคนนั้นจากไป ทุกอย่างเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่นาน ผมกลับไปนั่งเรียนตามปกติ แกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

           “ท้องเสียรึไงไปเข้าห้องน้ำตั้งนาน ก่อนมาเรียนนายก็เข้าไปแล้วนี่” ผมแกล้งทำเป็นถามกรขำ ๆ ทันทีที่เห็นกรเดินเข้ามานั่งเรียน เขาไม่ตอบแค่หันมามองหน้า และกลับไปสนใจสไลด์ที่อาจารย์ฉายอยู่ตรงหน้า

“เย็นนี้ไปเล่นบอลด้วยกันไหม ไม่ได้เล่นด้วยกันนานแล้วนี่” ผมถามเขาหลังจากเรียนเสร็จ

“ไม่ว่างมีธุระ” กรตอบเพียงประโยคสั้น ๆ แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกอยากรู้ถึงคำตอบของคำว่า “ธุระ” ธุระอะไรกันอีก? ทันทีที่คำถามนี้ผุดขึ้นมาในหัว มันก็ทำให้ผมเกิดแผนการที่ดูเหมือนไม่ค่อยจะดีผุดขึ้นมา            ใช่ครับผมจะแอบตามเขาไป ผมแอบย่องกายตามกรไปอย่างช้า ๆ ตามไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดที่ซอยแห่งหนึ่งที่เขาเดินเข้าไปจนสุดซอย และเดินเข้าไปในตึกร้างแห่งนั้นที่ดูเหมือนจะไม่มีคน ผมหยุดยืนอยู่หน้าตึกนั้น นี่มันหนังฆาตกรรมชัด ๆ ผมต้องสวมบทผมเป็นตำรวจ ทว่ากรก็คงเป็นผู้ร้ายสินะ ตำรวจที่กำลังแอบย่องตามผู้ร้ายเข้าไปในตึกร้างอย่างช้า ๆ และเงียบที่สุด ส่วนผู้ร้ายก็เดินเข้าไปในตึกโดยไม่ทันระวังหน้าระวังหลัง ที่นี่ไม่มีการรักษาความปลอดภัยใด ๆ เหมือนทุกคนจะไว้ใจในกันและกัน ผมแอบย่องเข้าไปเงียบ ๆ แต่ทันทีที่เข้าไปถึง         ผมก็ได้กลิ่นบางอย่างลอยโชยเข้ามาในโสตประสาท ยิ่งเข้าเดินเข้าไปใกล้ กลิ่นก็ยิ่งแรงขึ้นเรื่อย ๆ  

สิ่งที่มองผ่านสายตาประหนึ่งฉากในละคร มันทำให้ผมรู้สึกรังเกียจขยะแขยงจนอยากจะอ้วกเลยทีเดียว สารรูปของคนพวกนี้ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน กลิ่นที่ลอยมาเข้าจมูกมันทำให้ผมกำลังเริ่มรู้สึกเวียนหัว ผมเริ่มเห็นภาพพร่ามัว ทุกอย่างดูเลือนราง แรก ๆ มันรู้สึกทรมาน แต่ผ่านไปซักพักร่างกายผมกลับตอบสนองไปอีกแบบ ใช่ครับผมกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับมัน ควบคุมตัวเองไม่ได้ จิตผมกำลังลอยเคว้งคว้าง มันรู้สึกทรมานแต่ก็มีความสุขไปในขณะเดียวกัน ร่างกายผมกำลังโหยหาบางสิ่ง มันร้อนรุ่มจนทำให้ผมอยากจะถอดเสื้อแล้วปาทิ้งไป

“ไหนใครอยากลองของใหม่มานี่เร็ว” เสียงเรียกเชิญพร้อมกับการกวักมือเรียก ดั่งการเรียกหมามา         กินข้าวได้ดังขึ้น หนุ่มสาวเหล่านั้นรีบหันไปทางต้นเสียง ต่างคนต่างเอาใจชายผู้นั้น ก็เพราะต้องการสิ่งที่อยู่ในมือของเขา ภาพนั้นมันดูไม่ต่างจากหมาหิวโซ ที่กำลังเลียแข้งเลียขาเจ้านายเพื่อร้องขอเศษอาหารมาประทังชีวิต ทุกคนต่างพูดจาออดอ้อนหว่านล้อมเอาใจเพียงเพื่อให้ได้ของชิ้นนั้นมาปรนเปรอหัวใจที่ไร้ความเป็นมนุษย์แล้ว

“เงียบ ๆ” เสียงตะโกนดังลั่นห้องของชายหนุ่มผู้นั้นทำให้ผมเริ่มได้สติอีกครั้ง นี่ผมกำลังมาทำอะไรที่นี่ ที่ ๆ ไม่ต่างจากขุมนรก ผมไม่ใช่ตำรวจที่กำลังวิ่งไล่จับผู้ร้าย แต่ผมกำลังจะกลายไปเป็นเหยื่อหรือตัวประกันของผู้ร้ายเหล่านั้น คิดได้ดังนั้นผมจึงรีบวิ่งออกมา และหยุดยืนอยู่หน้าตึก

นี่กรเป็นเด็กเดินยาจริง ๆ เหรอ? ทำยังไงผมถึงจะช่วยกรได้? เข้าไปช่วยตอนนี้เลยดีไหม? หรือเราจะไปหาคนอื่นมาช่วยดี? หรือควรปล่อยกรทิ้งไว้แบบนั้น? ร้อยแปดคำถามผุดขึ้นมาในหัวจนทำให้ผมรู้สึกสับสน ผมรู้สึกเหมือนหัวกำลังจะระเบิดออกมาส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาอีกส่วนก็คงจะเป็นเพราะผมกำลัง        คิดมาก มือเริ่มกุมขมับตัวเองและกดมันแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผมยังสามารถดึงตัวเองกลับมาสู่ความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า ผมคิดทบทวน หากจะช่วยกรผมต้องมีความพร้อมมากกว่านี้ สภาพผมต้องไม่ใช่แบบที่เป็นอยู่ ผมควรแจ้งตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือ คนตั้งมากมายหากจะสู้อยู่ตัวคนเดียวคงไม่มีทางชนะแน่ ๆ …………………

“อ้าวหนุ่มทำไม ไม่เล่าต่อล่ะ ร้อยเวรรอฟังอยู่เนี่ย” ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กำลังเค้นความเป็นมาจากผม ผมว่าผมไม่ได้มาขายเพื่อนนะ ผมแค่มีใจที่จะอยากช่วยเพื่อน แล้วแต่จะคิดนะว่าคำให้การผมจะมีแต่การทำให้เพื่อนได้รับโทษ แล้วผมกลายเป็นพระเอก ลองเปลี่ยนตัวคุณเองมาเป็นผมบ้างสิพวกคุณจะทำยังไงกัน?

“ผมก็เลย มาแจ้งความไว้ที่โรงพักนี่แหละครับ” ผมตอบตำรวจเป็นประโยคสุดท้าย ผมคิดแค่ว่าในเมื่อรอเวลาให้กรได้มีสติ กลับตัวกลับใจไม่ได้ บางทีตำรวจอาจจะเป็นคนสอนเขาสติ คำว่า “สติ” ได้ดีกว่าผม





โดยเด็กหญิง ธนพร โชคศรีเจริญ , โรงเรียนอุดมสิทธิศึกษา


ศึกษาจบแล้ว เปิดเนื้อหาต่อไป