เรื่องสั้น “ชีวิตมีสติพิชิต Newnormal”
ชีวิตมีสติพิชิต Newnormal
ณ ห้องเรียนประถมศึกษาปีที่ 4/1 ในอาคาร 3 โรงเรียนสติมาวิทยา คุณครูวรรณกำลังสอนเรื่องวิวัฒนาการในชั่วโมงชีววิทยา ในหัวเรื่องที่ว่า “สิ่งที่แข็งแรงและมีสติปัญญามากที่สุดเท่านั้นที่จะรอดในธรรมชาติที่สุดแสนจะโหดร้าย และในที่สุดสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะมีการพัฒนาปรับตัวไปเรื่อยๆจนเป็นสายพันธุ์ใหม่ในที่สุด”
เด็กหญิงโบตั๋นนั่งฟังคุณครูวรรณอย่างตั้งใจแต่ก็ขัดใจกับสิ่งที่คุณครูวรรณพูดในบางประโยค เธอเลยยกมือขึ้นอย่างไม่ลังเลใจและถามคุณครูวรรณว่า “ขออนุญาตนะคะ แต่แบบนี้มันก็ฟังดูไม่ยุติธรรมและก็น่าสงสารสำหรับสัตว์และสิ่งมีชีวิตตัวอื่นๆที่อ่อนแอกว่าและมีสติปัญญาน้อยกว่าไม่ใช่เหรอคะ? พอดีครอบครัวหนูเป็นคริสเตียนแล้วก็คัมภีร์ไบเบิลก็สอนว่ามนุษย์เท่านั้นที่มีสติปัญญาได้ด้วยค่ะ”
พอเด็กหญิงโบตั๋นพูดเสร็จก็นั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเองอย่างสุภาพเรียบร้อย ครูวรรณยืนคิดอยู่กับที่ของตนสักครู่ และ บอกออกไปกับเด็กหญิงโบตั๋นและเพื่อน ๆ นักเรียนร่วมชั้น ป. 4/1 ทุกคนว่า
“คำถามของหนูโบตั๋นก็น่าสนใจดีนะลูก แต่หนูอาจจะต้องขยายความคำว่า สติปัญญามากกว่านี้หน่อย เพื่อจะได้อภิปรายได้ แต่ว่าคาบเรียนนี้ก็ใกล้จะหมดเวลาแล้วด้วย อืมมม งั้นขอนักเรียนฝากทำมาเป็นการบ้านมาว่า มีสัตว์หรือสิ่งมีชีวิต สปีชีส์ไหนบ้างที่ปรับตัว และเปลี่ยนแปลงตัวเองจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและสัตว์ที่ให้เราเห็นกันในทุกวันนี้กันนะจ๊ะ อาจจะเน้นคำว่าสติปัญญามาด้วยก็ได้ แล้วก็รายงานนี้ส่งคาบเรียนหน้าพร้อมพรีเซนต์หน้าชั้นเรียนก็แล้วกันเนาะ หัวหน้าบอกทำความเคารพนักเรียนในชั้นได้เลยจ้ะ”
เสียงทำความเคารพของทุกคนในชั้นดังขึ้นพร้อมกับกริ่งที่ดังเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาแล้ว โบตั๋นกลับบ้านไปถามคุณแม่เมย์ว่า “แม่คะ เรื่องที่ว่าสิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงและมีสติปัญญามากที่สุดเท่านั้นที่จะรอดในธรรมชาติและจะมีการพัฒนาวิวัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆนี่ ไม่จริงใช่ไหมคะ เพราะไบเบิลก็สอนว่าพระเจ้า เป็นผู้สร้างตัวเราและสิ่งมีชีวิตอื่นๆนิคะ” แม่เมย์บอกกับโบตั๋นว่า “แม่ไม่สามารถที่จะให้ลูกเชื่อทุกอย่างที่มาจากสิ่งที่แม่พูดหรือ สิ่งที่คนอื่นสอนลูกแบบอัตโนมัติไม่ได้หรอกนะแต่ลูกต้องพิสูจน์ความจริงด้วยตัวเองนะลูก เอางี้ลูกลองค้นคว้าคำว่า conscious หรือ สติ ดูนะลูกเผื่อลูกจะได้รู้อะไรเพิ่มขึ้น” โบตั๋นเลิกคิ้วข้างขวาขึ้นและสับสนเล็กน้อยว่าสติเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องวิวัฒนาการที่เธอกำลังจะทำรายงานอยู่นี้ แต่โบตั๋นก็รู้ว่าเมื่อคุณแม่เมย์พูดอะไรก็เป็นประโยชน์ และ มีเหตุผลมาเสมอต้นเสมอปลายเลยตกลงกับคุณแม่ว่าจะทำการบ้านเรื่องการค้นคำว่าสติดู และลองเพิ่มลงในรายงานการบ้านเรื่องวิวัฒนาการอีกด้วย
“อืม โบตั๋นลูก” แม่เมย์กล่าว ตามมาด้วยเสียงตอบของโบตั๋น “คะ มีอะไรเหรอคะคุณแม่” “คือ เอ่อ วันนี้แม่มีข่าวร้ายมาบอกน่ะ แม่จะเล่าให้ลูกฟังได้ไหม” แม่เมย์ถามด้วยความลังเลใจ “ได้สิคะ ว่าแต่เป็นเรื่องอะไรเหรอคะ” แม้น้ำเสียงเธอเริ่มไม่ดี โบตั๋นตอบแม่เมย์ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยแม่ของตน “คือ...แม่ตกงานเพราะตกงานเพราะที่บริษัทเค้าลดจำนวนพนักงานลงน่ะ แม่อยู่ในกลุ่มที่ต้องโดนให้ออก เราคงต้องประหยัดมากขึ้นแล้วล่ะ แม่ขอโทษนะ แม่ผิดเองแหละ แต่แม่จะพยายามหางานใหม่เร็วๆนี้นะลูก” แม่เมย์บอกด้วยความกังวลใจ “ไม่เป็นไรค่ะ เพราะมันไม่ใช่ความผิดแม่ซะหน่อยนี่คะ มันเป็นเพราะโรคระบาดโควิด-19 ต่างหากล่ะค่ะ แล้วหนูก็คงจะไม่ได้แย่ไปกว่าใครๆหรอกนะคะ เพราะเพื่อนๆทุกคนที่โรงเรียนก็บอกว่าที่บ้านเขาก็เครียด และก็ กังวล เหมือนกันค่ะ เพราะงั้นไม่ต้องกังวลไปนะคะ และหนูก็เชื่อว่าแม่เมย์หางานใหม่ได้เร็วๆนี้แน่นอนค่ะ ” โบตั๋นตอบด้วยสีหน้าที่ไม่กังวลใจและยิ้มแย้มแจ่มใส พยายามข่มความกังวลในใจไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้าที่สุด และแม่เมย์ก็อุ่นใจกับคำตอบของโบตั๋นเช่นกัน
ในคืนนั้น โบตั๋นได้ไปค้นคว้าเรื่องสติเพิ่มเติมตามที่แม่เมย์ได้แนะนำไว้ก่อนหน้านี้ โดยเริ่มจากหาหนังสือพจนานุกรมภาษาไทย และเปิดดิกชันนารีภาษาอังกฤษด้วย รวมทั้งหนังสือทางศาสนา และปรัชญาหลายเล่มที่อ้างอิงคำว่าสติ ด้านต่างๆ แต่ว่าเธอได้คำตอบที่ตรงใจจากหนังสือเล่มหนึ่งที่สุดว่า สติแม้จะมีความหมายหลากหลาย เช่น การรู้สึกตัว จิตสำนึก หรือตระหนัก แต่ทว่าในความหมายพื้นฐานที่สุด กลับหมายถึง สภาวะจิตใจที่รับรู้ตัวตนของตัวเอง คือมีความรู้สึกนึกคิด ที่บ่งบอก ลักษณะความเป็นมนุษย์ ที่พิเศษไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นใดๆเลย หนังสือเล่มนั้น แยกแยะมนุษย์จากสัตว์อื่นๆ โดยบอกว่า ทั้งสุนัข แมว หรือช้าง สิงโต ต่างก็มีชีวิต โดยการใช้สัญชาติญาณ ( Instinct ) กล่าวคือ มันจะกิน นอน หาอาหาร ออกล่า หรือผสมพันธุ์มันไม่ได้มีสติที่จะรับรู้การตัดสินใจตัวเอง แต่ทำมันออกไปโดยธรรมชาติที่โดนกำหนดมา ในสังคมของสัตว์จึงมีระเบียบในแบบของมัน แต่ก็วุ่นวายและขาดความคิดที่ลึกซึ้งหรือไม่มีการรับรู้ในระดับตัวตน จุดที่โบตั๋นชอบคงจะเป็นการยกตัวอย่างการทดลองหนึ่ง ที่ให้สุนัขดูตัวเองในกระจก มันไม่ได้รู้ว่าในกระจกคือตัวมันเอง เลยทำท่าส่งเสียงขู่ นี่เป็นหลักฐานว่าสัตว์ไม่ได้มีสติรับรู้ตัวตนนั่นเอง และที่สำคัญสติของคนเราไม่เหมือนกับสัญชาติญาณที่สัตว์มี แต่มีแค่มนุษย์ที่มีสติและใช้ในหลายรูปแบบได้นั่นเอง
วันถัด ที่โรงเรียนโบตั๋น ระหว่างทางกลับบ้านที่เดินกลับบ้านไปส่งเพื่อนสนิทของเธอที่ชื่อฟ้าใส เธอก็เห็นเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห้องเดียวกันกับเธอ กำลังเล่นมอญซ่อนผ้ากันในช่วงเวลาพักเที่ยง แต่ การเล่นกันทำให้ไม่สบายใจมาก เพราะเด็กๆเกือบทุกคนถอดหน้ากากอนามัย ไม่เว้นระยะห่างทางสังคม และ ไม่ฉีดแอลกอฮอล์ หรือ ล้างมือกับเจลล้างมือบ่อยๆ เพราะมัวแต่สนุกกัน โบตั๋นเห็นแล้วเป็นห่วงเพื่อนๆกลุ่มนั้นว่าจะเสี่ยงติดโรคระบาดโควิด-19 กันรึเปล่า เลยไปเตือนสติเพื่อนๆกลุ่มนั้นด้วยดีๆ แต่ผลที่ออกมาคือเพื่อนๆกลุ่มนั้นไม่สนใจในคำเตือนของโบตั๋นและเล่นกันต่อไป โบตั๋นเลยโกรธ,เสียใจ และผิดหวังมากเลยไปทะเลาะกับเพื่อนๆกลุ่มนั้นไปโดยตะโกนด่าออกไปว่า “สติยังดีอยู่ไหม!!” แต่ทว่าหลังพูดคำนั้นออกไปโบตั๋นไม่ได้สบายใจขึ้น แต่รู้สึกผิดมากๆที่พูดแรงไป แต่ทว่าเธอก็ทำอะไรไม่ถูกเลยหนีออกมาจากตรงนั้นด้วยความไม่เข้าใจกันและด้วยความร้อนรน
คำพูดนั้นที่เธอใช้ในการด่าเพื่อนๆกลุ่มนั้นไปทำให้โบตั๋นกลับไปนอนคิดในคืนนั้นว่า สติ มีความหมายมากกว่าที่เคยคิดไว้และเขียนไว้คืนที่แล้วอีก เช่น มันหมายถึงการตัดสินใจทำอะไรในชีวิตด้วยความระมัดระวัง การมีสติอยู่เสมอเมื่อมีอันตรายเผื่อหลบหลีก หรือ การใช้สติในการคิดใคร่ครวญ สร้างความรอบคอบ และมีวิจารณญาณเพื่อทำตามระเบียบ กฎหมายของสังคม อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เธอเลยลุกออกจากเตียงและไปแก้ไขรายงานการบ้านนั้นเรื่องวิวัฒนาการก่อนที่จะส่งให้คุณครูวรรณและไปรายงานหน้าชั้นเรียน พร้อมกับคิดวิธีและคำขอโทษเพื่อนๆกลุ่มนั้นไปที่เธอพูดแรงเกินความจำเป็นไปด้วย
โบตั๋นได้ยินเสียงคุณแม่เมย์กลับมาบ้านพอดีโบตั๋นเลยออกจากห้องนอนของตัวเองไปหาคุณแม่เมย์ หลังคุณแม่กินข้าวเย็นเสร็จก็ถามโบตั๋นว่า “วันนี้แม่มีทั้งข่าวดี แล้วก็ ข่าวร้ายเลยนะ ลูกอยากฟังอันไหนก่อนล่ะ” โบตั๋นตอบว่าแม่เมย์ว่า “อืมมม....งั้นเอาข่าวดีก่อนละกันค่ะ หนูชอบฟังข่าวดี แหะๆ”
“งั้นแม่จะเล่าให้ฟังนะ วันนี้แม่ไปสัมภาษณ์งานที่นึงที่เขารับสมัครผู้ช่วยเลขาแค่คนดียวน่ะ แล้วก็มีคนมาสัมภาษณ์งานแค่สองคนคือ แม่ กับ อีกคนที่เค้ามาสัมภาษณ์งานเหมือนแม่ แล้วแม่ก็ได้งานแล้วนะ” “จริงเหรอคะยินดีด้วยนะคะ แล้วข่าวร้ายละคะ” โบตั๋นถาม แต่ก็ปล่อยเสียงดีใจล่วงหน้าไปแล้วก่อนฟังจบ “อืมแต่...” “แต่ทำไมเหรอคะ” แม่เมย์เริ่มเล่าต่อ “แต่พอแม่ออกมาจากห้องผู้จัดการ คนที่มาสัมภาษณ์เหมือนแม่อีกคนเล่าว่า...เขามีลูกติดสามคน ไม่มีพ่อด้วย จนกว่าเราอีก และต้องการงานนี้จริงๆ ทีนี้แม่ก็สงสารเค้าเพราะเขาก็เหมือนบ้านเรา ที่พ่อของเราเสียไปนานแล้ว และทั้งแม่ลูกต้องต่อสู้เอาตัวรอดกันตามลำพัง แม่เลยสละสิทธิ์ให้งานเค้าไปนะจ่ะ”
ความเงียบและบรรยากาศอึมครึมเกิดขึ้นท่ามกลางห้องกินข้าวที่เมื่อกี้ยังอบอุ่นและจ้อกแจ้กจอแจอยู่เลย...
โบตั๋นทั้งเสียใจและโกรธแม่เมย์มากและบอกแม่ด้วยความกังวลใจในสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ว่า
“แล้วยังงี้แล้วเราจะอดตายไหม ทำไมแม่ต้องใจดีกับทุกคนด้วยคะ!!” โบตั๋นพูดกับแม่ด้วยน้ำตาที่ไหลมาไม่หยุด แม่เมย์เห็นโบตั๋นร้องไห้ออกมาไม่หยุดทำให้ตกใจมากเลยอธิบายในสิ่งที่ทำไปว่า “ใจเย็นๆนะ แม่รู้ว่าแม่ผิดนะแต่ลูกจำได้ไหมว่าความรัก ความเมตตา เป็นคุณลักษณะหนึ่งที่ผู้สร้างเราให้เราด้วย ถ้าเราไม่แสดงคุณลักษณะเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากสัตว์หรอกนะ...” โบตั๋นนึกได้นึกขึ้นได้นิดนึงว่าเรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการที่ครูวรรณบอก มีอะไรบางอย่างไม่สอดคล้องกัน เพราะ มนุษย์ที่แข็งแรงและแข็งแกร่งที่สุด เลยฉุกคิดในใจว่าการค้นคว้าคำว่าสติและรายงานนี้ ทำให้เราใจเย็นลงได้ และเราควรจะใช้สติกับตัวเราเพื่อคิดให้ดีในตอนนี้ด้วย
ใช่แล้ว เธอคิดกับตัวเองในใจอยู่นาน จนเหมือนเวลาหยุดเดินต่อหน้าแม่ “คิดให้ได้สิ” เราไม่จำเป็นต้องเอาตัวรอดให้ได้เสมอไป เราไม่เหมือนสัตว์อื่นๆนะ เรากับแม่ทำได้ดีกว่า เพื่อนที่โรงเรียนคนนั้นที่ไม่สนใจความปลอดภัยและชีวิตคนรอบข้าง เรายิ่งไม่เหมือนเสือ สิงโต ที่จะใช้สัญชาติญาณเอาตัวรอด กัดกิน สัตว์ที่อ่อนแอสู้ไม่ได้ เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์และลูกตัวเองอย่างเดียว แต่มนุษย์มีสตินึกคิดที่ทำให้มนุษย์ตัดสินใจได้ในหลายสถานการณ์ไม่ใช่ด้วยการแย่งชิงต่อสู้แต่ด้วยความรัก ความเมตตา และช่วยเหลือคนอื่น ถึงแม้ว่านั่นจะหมายความว่าเราเองจะต้องเสียผลประโยชน์ก็ตาม ถ้าหากว่าสิ่งมีชีวิตในยุคดึกดำบรรพ์ เคยปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตแบบเอาตัวรอดจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างโหดร้าย ด้วยการเหยียบย่ำตัวที่อ่อนแอกว่าแล้วล่ะก็ มนุษย์อย่างพวกเราในยุคนี้ก็อาจกำลังเจอสภาพแวดล้อมใหม่ ที่คล้ายกันที่ทดสอบการเอาตัวรอดของสังคมและเผ่าพันธุ์ อย่างโรคระบาดโควิด-19 ที่เรียกว่า New Normal หากมนุษย์จะเอาตัวรอดให้ได้ด้วยกัน เราต้องสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ใช่เพียงแค่การใช้กำลัง ความแข็งแรงของร่างกาย แต่ด้วยความคิดที่มีสติสัมปชัญญะ มีสตินี่แหละ ไม่ว่าในครอบครัว ในโรงเรียน ที่ทำงาน หรือในสังคม นั่นคือในการตัดสินใจอย่างฉลาดในการคิดค้นวัคซีน มาตรการการป้องการโรคระบาด และอีกหลายอย่างมากมาย แต่ต้องไม่เพียงแค่นั้น ต้องใช้สติในทุกๆวันตัดสินใจด้วยความรอบคอบ และคิดถึงคนอื่นตลอดเวลาด้วย ที่สำคัญที่สุดคือ ด้วยสติที่เป็นความความสามารถในการคิดหาเหตุผลที่ได้ติดตัวมาตั้งแต่ถูกสร้างมาอยู่ในครรภ์แม่อย่างน่ามหัศจรรย์ ความสามารถนี้แหละที่ทำให้เราแสดงออกมาเป็นความรัก ความเมตตากรุณา ความเห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือผู้อื่นในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้การมีสติและจำไว้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษอย่างนี้แหละจะช่วยให้สังคมมนุษย์ปรับเปลี่ยนตนเอาตัวรอดในยุค New Normalนี้แหละ ไม่เพียงแค่ครั้งนี้แต่แม้แต่ในวิกฤตอื่นๆที่อาจจะใหญ่กว่านี้ที่จะมีมาในอนาคตอย่างแน่นอน.
เมื่อโบตั๋นคิดได้ทั้งหมดนี้แล้ว เธอจึงได้สติ ไม่ได้โกรธเคืองแม่อีกต่อไป หน้าเธอมีรอยยิ้มอ่อนโยน ทั้งสองกอดกันอย่างไม่เคยทำมานานก่อนหน้านี้ เป็นการกอดที่อบอุ่นยาวนาน ทั้งสองสัญญาว่าจะช่วยกันและกันต่อๆไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และความสุขสงบใจค่อยๆเข้ามาแทนที่ความกลัวกังวลในหัวใจพวกเธอในที่สุด วันรุ่งขึ้นเธอยังได้คะแนนเต็มจากรายงานเรื่องนี้ในคาบเรียน คุณแม่เธอได้งานทำในที่สุดหลังจากนั้นไม่นาน และแม้ว่าโควิดจะยังไม่หายไปจากโลกเรา แต่สิ่งที่คอยค้ำจุนช่วยเหลือครอบครัวโบตั๋นและครอบครัวอื่นๆด้วยคือการใช้ชีวิตอย่างมีสติต่อๆไปนั่นเอง.
โดยนางสาว ลูน่า เคียวทานิ , โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย